ในยุคที่ทุกอย่าง ตั้งแต่การประชุมวีดิโอ การซื้อขายออนไลน์ ปัญญาประดิษฐ์ ไปจนถึงโซเชียลมีเดีย ดำเนินการอยู่บนระบบคลาวด์ดิจิทัล โครงสร้างพื้นฐานสำคัญที่ทำให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้ คือ ศูนย์ข้อมูล (Data Center) ซึ่งกำลังกลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญไม่แพ้ถนน ท่าเรือ หรือระบบไฟฟ้าในสังคมสมัยใหม่
ศูนย์ข้อมูลคืออะไร? ทำไมจึงตั้งอยู่ในบางประเทศ เช่น สิงคโปร์ หรืออาจรวมถึงประเทศไทย? แล้วประเทศที่เป็นที่ตั้งจะได้ประโยชน์อะไร? และควรเตรียมตัวอย่างไร?
1. ศูนย์ข้อมูลคืออะไร?
ศูนย์ข้อมูล คือสถานที่ที่องค์กรต่าง ๆ ใช้สำหรับเก็บรักษาและดำเนินการเกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีที่สำคัญ เช่น เซิร์ฟเวอร์ ระบบจัดเก็บข้อมูล อุปกรณ์เครือข่าย และระบบระบายความร้อน โดยทำงานตลอด 24 ชั่วโมง 7 วันต่อสัปดาห์ เพื่อให้บริการดิจิทัลต่าง ๆ ทำงานได้อย่างต่อเนื่อง เช่น เว็บไซต์ แอปพลิเคชัน วิดีโอออนไลน์ การค้าบนอินเทอร์เน็ต และบริการคลาวด์
ศูนย์ข้อมูลเปรียบเสมือนคลังสมองของอินเทอร์เน็ต เมื่อคุณค้นหาข้อมูลบน google ดูคลิปใน YouTube หรืออัปโหลดไฟล์ไปยังบริการคลาวด์ ข้อมูลจะถูกส่งไปยังเซิร์ฟเวอร์ในศูนย์ข้อมูล ซึ่งจะประมวลผลคำขอของคุณ และส่งข้อมูลกลับมาอย่างรวดเร็วภายในเสี้ยววินาที
ศูนย์ข้อมูลมีหลายประเภท ตั้งแต่ขนาดเล็กที่บริษัทดูแลเอง ไปจนถึงศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่พิเศษ (Hyperscale) ที่ดำเนินการโดบบริษัทเทคโนโลยีระดับโลก เช่น Amazon, Web Services (AWS), Microsoft, Google, Meta (Facebook) และ Oracle ซึ่งศูนย์ข้อมูลเหล่านี้อาจมีขนาดหลายหมื่นตารางเมตรและเซิร์ฟเวอร์นับแสนเครื่อง โดยเฉพาะในยุคที่ปัญญาประดิษฐ์ (AI หรือ Artificial Intelligence) และ Big Data กำลังเฟื่องฟู ความต้องการใช้ศูนย์ข้อมูลก็เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
2. การเลือกทำเลที่ตั้งของศูนย์ข้อมูล
การเลือกทำเลที่ตั้งของศูนย์ข้อมูลเป็นผลจากการพิจารณาเชิงยุทธศาสตร์หลายด้าน ได้แก่
ก. เพื่อลดความหน่วงของข้อมูล (Latency)
ศูนย์ข้อมูลควรอยู่ใกล้กับแหล่งที่มีผู้ใช้งานจำนวนมาก เพื่อให้การรับ-ส่งข้อมูลทำได้เร็วและลื่นไหล มีความหน่วงน้อย เหมาะสำหรับการใช้งานที่ต้องการความเร็ว เช่น เกมออนไลน์ วิดีโอสตรีมมิ่ง หรือบริการ AI
ข. เข้าถึงพลังงานที่มั่นคง ราคาถูก และสะอาด
เนื่องจากศูนย์ข้อมูลใช้ไฟฟ้าจำนวนมาก (ระดับ 10-100 เมกะวัตต์) การตั้งในพื้นที่ที่มีไฟฟ้าเพียงพอและราคาถูกจึงเป็นปัจจัยสำคัญ บริษัทระดับโลกหลายแห่งมีเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจก จึงต้องการตั้งศูนย์ข้อมูลในประเทศที่มีแหล่งพลังงานสะอาด เช่น พลังงานแสงอาทิตย์หรือพลังน้ำ ในการผลิตไฟฟ้า
ค. ต้นทุนการระบายความร้อน
อุปกรณ์ในศูนย์ข้อมูลต้องทำงานตลอด 24 ชั่วโมง และใช้พลังงานไฟฟ้าจำนวนมาก ก่อให้เกิดอุณหภูมิสูง ดังนั้นการระบายความร้อนจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งในการป้องกันไม่ให้อุปกรณ์เสียหาย ส่วนใหญ่ต้องใช้น้ำเป็นจำนวนมากในการระบายความร้อน ศูนย์ขนาดกลาง (10 MW) ใช้น้ำมากถึงวันละ 4 ล้านลิตร จึงควรตั้งอยู่ในทำเลที่มีแหล่งน้ำที่ใหญ่และมีต้นทุนต่ำ ในประเทศที่อากาศหนาวสามารถใช้ลมธรรมชาติเสริมในการระบายความร้อนและลดค่าใช้จ่ายลงได้บ้าง
ง. เครือข่ายอินเทอร์เน็ตและเคเบิลไฟเบอร์
ศูนย์ข้อมูลต้องอยู่ใกล้จุดเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต (IXPs) หรือท่าเชื่อมเคเบิลใต้น้ำ เพื่อให้สามารถส่งข้อมูลระหว่างภูมิภาคได้อย่างรวดเร็ว
จ. ความมั่นคงทางกฎหมายและการเมือง
บริษัทเทคโนโลยีต้องการความมั่นใจว่าระบบกฎหมายจะไม่เปลี่ยนแปลงกะทันหัน และไม่มีความเสี่ยงทางการเมือง
ในเอเชีย สิงคโปร์ดูเหมือนจะเป็นประเทศที่บริษัทบิ๊กเทคสนใจมาตั้งศูนย์ข้อมูลมากที่สุด เพราะมีข้อได้เปรียบหลายด้าน เช่น การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ความมั่นคงด้านนโยบายและกฎหมาย โครงสร้างพื้นฐานที่พร้อม และตั้งอยู่ใจกลางภูมิภาคเอเซียน แต่เนื่องจากศูนย์ข้อมูลใช้พลังงานสูง สิงคโปร์จึงมีการชะลอการอนุมัติโครงการใหม่ชั่วคราว และคงจะอนุญาตเฉพาะโครงการที่มีประสิทธิภาพพลังงานสูง
ประเทศไทยเริ่มได้รับความสนใจในด้านนี้มากขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่ EEC ที่มีระบบโครงสร้างพื้นฐานและไฟฟ้ารองรับ รวมถึงนโยบาย Thailand 4.0 ที่ส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจดิจิทัล บริษัทยักษ์ใหญ่ เช่น Microsoft, Google และ AWS ได้ประกาศลงทุนสร้าง “Cloud Region” ในไทย โดยอาจรวมถึงศูนย์ข้อมูลด้วย
3. ประโยชน์และต้นทุนของการเป็นเจ้าภาพศูนย์ข้อมูล และแนวทางเตรียมความพร้อม
คำถามสำคัญก็คือ ประเทศไทยจะได้รับประโยชน์อะไร และต้องสูญเสียอะไรไปบ้างจากการมีศูนย์ข้อมูลเข้ามาตั้งอยู่ในประเทศ
ประโยชน์ที่ได้รับน่าจะเป็น
อย่างไรก็ตาม ต้นทุนและความเสี่ยงก็มีไม่น้อย ได้แก่
ดังนั้น เพื่อให้ประเทศเจ้าภาพได้รับประโยชน์มากที่สุด จึงควรสร้างความพร้อมเพื่อรองรับศูนย์ข้อมูลในด้านต่าง ๆ ที่สำคัญได้แก่
สรุป
ศูนย์ข้อมูลคือ “โครงสร้างพื้นฐานยุคดิจิทัล” ที่จำเป็นต่อเศรษฐกิจยุคใหม่ การเปิดรับการลงทุนจากบริษัทระดับโลกเป็นโอกาสในการเปลี่ยนผ่านสู่ศูนย์กลางดิจิทัลของภูมิภาคอาเซียน
แต่การจะได้ประโยชน์สูงสุด ประเทศไทยต้องมีนโยบายที่รอบคอบ ทั้งด้านผังเมือง พลังงาน สิ่งแวดล้อม กฎหมาย และการพัฒนาคน เพื่อให้ไม่เพียงเป็นแค่ที่ตั้งของ “โกดังข้อมูลโลก” แต่เป็นผู้ได้ประโยชน์อย่างเต็มที่จากเศรษฐกิจดิจิทัลของโลกในอนาคต