ในความรับรู้ของผู้คนที่สนใจเหตุบ้านการเมืองในสังคมไทย ตุลาคมมักถูกจดจำในฐานะเดือนที่มีเหตุการณ์การเมืองที่สำคัญจนถึงขั้นมีการบัญญัติศัพท์แบบ “คนเดือนตุลา” (Octobrists) ขึ้นมาเลย (ถึงแม้คนเดือนตุลาคมจะแยกกันไปตามทางของแต่ละกลุ่มก็ตาม) แต่ความทรงจำต่อเดือนตุลาคมที่เปี่ยมไปด้วยความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่สังคมไทย เพราะในสังคมอื่นของโลกก็มีความทรงจำในลักษณะนี้เช่นกัน โดยเฉพาะรัสเซียที่มีความทรงจำฝังแน่นเกี่ยวกับการปฏิวัติเดือนตุลาคม (October Revolution) ซึ่งอุบัติขึ้นใน ค.ศ. 1917 และได้ให้กำเนิดรัฐที่ชื่อว่า “สหภาพโซเวียต” (Soviet Union) ที่มีอายุประมาณสามในสี่ศตวรรษ (1917-1991) ผู้เขียนเกริ่นถึงเรื่องความทรงจำว่าด้วยเดือนตุลาคมทั้งสังคมไทยและสังคมรัสเซียเพื่ออยากชวนคุยถึงหนังสือเรื่อง Revolutionary Russia, 1891-1991 ของออลันโด ไฟเจส (Orlando Figes) นักวิชาการที่เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์รัสเซีย โดยเฉพาะประวัติศาสตร์แบบมุขปาฐะ (oral history) ที่พยายามศึกษามุมมองของผู้คนพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงในภาพใหญ่
ในความเห็นส่วนตัวของผู้เขียน หนังสือเล่มนี้บรรยายถึงประวัติศาสตร์รัสเซียในช่วงเวลาที่อยู่ภายใต้อิทธิพลของแนวคิดที่ส่งเสริมการปฏิวัติอย่างลัทธิมาร์ก (Marxism) หรืออาจเรียกให้ตรงกว่านั้นว่า ลัทธิเลนิน (Leninism) ได้อย่างครบถ้วนและน่าติดตาม โดยในช่วงเวลานั้น รัสเซียอยู่ภายใต้การปกครองของพรรคบอลเชวิค (Bolsheviks Party) ที่สถาปนาอำนาจเหนือหน่วยการปกครอง (polity) ของสหภาพโซเวียต และหนังสือเล่มนี้ยังเปี่ยมไปด้วยลีลาการบรรยายข้อเท็จจริงอันหนักแน่น มุมมองเชิงวิพากษ์อันแหลมคม และสอดแทรกมุขตลกอันแสบสันของผู้คนที่อาศัยอยู่ในช่วงเวลานั้น อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนขอชวนแลกเปลี่ยนถึงความเข้าใจระบบเศรษฐกิจของโซเวียตที่ได้จากการอ่านหนังสือเล่มนี้ของตนเองเท่านั้น ผู้อ่านท่านใดอยากรู้เรื่องราวของโซเวียต ผู้เขียนแนะนำให้อ่านเล่มนี้
ผู้ที่ผ่านการเรียนวิชาสังคมศึกษาในระดับมัธยมของสังคมไทยจะทราบว่า ระบบเศรษฐกิจของสหภาพโซเวียตคือตัวอย่างมาตรฐานของระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยมที่รัฐมีอำนาจในการควบคุมการจัดสรรและแบ่งปันทรัพยากรทางเศรษฐกิจผ่านการวางแผนจากส่วนกลาง ผู้บริหารพรรคคอมมิวนิสต์ในแต่ละช่วงเวลากำหนดทั้งยุทธศาสตร์ในระดับมหภาค เช่น การพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างรวดเร็วจนสามารถทัดเทียมกับประเทศใน “โลกทุนนิยม” หรือการสร้างภาคเกษตรกรรมที่สามารถผลิตอาหารเลี้ยงคนหลักล้านได้อย่างไม่ลำบาก และเป้าหมายในระดับจุลภาค เช่น ปริมาณขั้นต่ำของสินค้าอุปโภคและบริโภคที่โรงงานแต่ละแห่งต้องผลิตได้ หรือจำนวนผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรที่หน่วยนารวม (collective farming) ให้เป็นไปตามเป้าหมาย การสั่งการจากรัฐข้างต้นอยู่บนเงื่อนไขเชิงสถาบันที่ว่า รัฐได้อ้างความเป็นเจ้าของของปัจจัยการผลิตอย่างที่ดินและทุนในระบบเศรษฐกิจแทบทั้งหมด ผลผลิตแทบทั้งหมดจึงต้องถูกส่งต่อให้รัฐ ก่อนรัฐนำไปกระจายต่อทางช่องทางจัดจำหน่ายที่รัฐเป็นผู้ควบคุม โดยรัฐให้สิทธิ์ผู้คนในการครอบครองที่ดินแปลงเล็กเพื่อทำการเกษตรสำหรับบริโภคในครัวเรือนหรือขายสู่ตลาดในปริมาณที่เล็กน้อยเท่านั้น กระนั้น ผู้คนในรัสเซียที่ในทางหลักการแล้วดูเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิตอย่างแรงงานที่เป็นเวลาและกำลังแรงของตัวเอง แต่กลับไม่สามารถควบคุมการจัดสรรแรงงานของตนเองได้อย่างเต็มที่นัก เนื่องจากรัฐได้จัดการสั่งให้ผู้คนไปทำงานซึ่งตอบสนองต่อเป้าหมายของรัฐ
อย่างไรก็ตาม ระบบเศรษฐกิจของโซเวียตก็ไม่ได้ดำเนินไปในทิศทางที่รัฐควบคุมอย่างเบ็ดเสร็จเสียทีเดียว ในหลายครั้ง รัฐยังอนุญาตให้เอกชนมีเสรีภาพในการผลิตและแลกเปลี่ยนสินค้าได้บ้าง แต่เสรีภาพทางเศรษฐกิจที่ประชาชนในสหภาพโซเวียตได้รับก็ไม่สามารถเทียบเคียงได้กับของผู้คนในโลกทุนนิยมทางตะวันตก คำถามสำคัญคือ แล้วทำไมพรรคบอลเชวิคถึงให้กำเนิดและดำเนินการใช้ระบบเศรษฐกิจแบบนี้มาอย่างต่อเนื่อง คำตอบในหนังสือเล่มนี้คือ พรรคบอลเชวิคสร้างระบบเศรษฐกิจที่ตอบสนองต่อสภาวะสงคราม (war economy) ทั้งสงครามระหว่างรัฐที่โซเวียตต้องเผชิญกับภัยคุกคามจากระบอบประชาธิปไตยแบบกระฎุมพีของรัฐทุนนิยม (รวมถึงการรุกรานจากระบอบฟาสซิสต์ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ด้วย) และการต่อสู้ภายในประเทศระหว่างกองทัพแดง (Red Army) กับกองทัพขาว (White Army) ที่เป็นพลังปฏิกิริยาต่อระบอบคอมมิวนิสต์ เพราะต้องการย้อนเวลาของสังคมรัสเซียกลับไปก่อนการปฏิวัติในเดือนตุลาคมของ ค.ศ. 1917
ในอีกด้านหนึ่ง ระบบเศรษฐกิจของพรรคบอลเชวิคยังถูกผลักดันจากสงครามระหว่างชนชั้นของสังคมรัสเซียภายใต้ระบอบซาร์ (czarism) ของราชวงศ์โรมานอฟ (Romanov) ด้วย สาเหตุที่หนังสือเล่มนี้เริ่มใช้ ค.ศ. 1891 เป็นจุดเริ่มต้นของยุคสมัยแห่งการปฏิวัติในรัสเซีย เพราะช่วงเวลานั้นเกิดภาวะอดอยากในสังคมรัสเซีย แต่กลุ่มชนชั้นนำและพ่อค้าในรัสเซียกลับแสวงหากำไรด้วยการส่งออกธัญพืชที่ขาดแคลนไปยังตลาดต่างประเทศ แทนที่นำมาแบ่งสรรแก่ผู้คนในประเทศ สามัญชนทั้งเกษตรกรและผู้อาศัยในเมือง ออกมาเรียกร้องให้มีการปฏิรูปสถาบันการเมืองเพื่อผลักดันนโยบายเศรษฐกิจที่ตอบสนองต่อสามัญชนมากขึ้น แม้ว่าชนชั้นปกครองในระบอบซาร์ได้ริเริ่มการปฏิรูปไปบ้าง แต่ก็ไม่ได้กระทำอย่างจริงจังนัก ปัญหาความยากลำบากของสามัญชนจึงยังดำเนินต่อไป หลังจากการเข้าสู่สงครามโลกครั้งแรกผนวกกับความยากลำบากทางเศรษฐกิจของรัสเซียที่ได้ช่วยให้กระบวนการปฏิวัติสำเร็จ พรรคบอลเชวิกจึงได้ทำการจัดสรรทรัพยากรตามแนวทางของระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม เพื่อสร้างฐานการสนับสนุนจากเกษตรกรไร้ที่ดินและกรรมาชีพในเขตเมือง พร้อมไปกับลดอำนาจของชนชั้นนำเก่าในระบอบซาร์ของราชวงศ์โรมานอฟที่สามารถต่อต้านการปฏิวัติได้
ด้วยปัจจัยทางการเมืองทั้งในระดับระหว่างประเทศและระดับภายในประเทศ ระบบเศรษฐกิจคอมมิวนิสต์ของรัสเซียจึงต้องวางแผนในการจัดสรรทรัพยากรให้สามารถพัฒนาฐานอุตสาหกรรมสำหรับผลิตยุทโธปกรณ์ผ่านการแปลงโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ให้กลายเป็นของรัฐ (nationalization) และการระดมทรัพยากรและแรงงานไปก่อตั้งฐานอุตสาหกรรมใหม่ และรัฐยังเริ่มการสะสมและการกระจายปริมาณอาหารให้เพียงพอต่อความต้องการของกองทัพขนาดใหญ่ ผ่านการรวมพื้นที่การเกษตรขนาดเล็กหลายแห่งให้กลายเป็นแปลงขนาดใหญ่หรือนารวม (collectivization) รวมไปถึงการจัดแบ่งสิ่งของจำเป็น (rationing) แก่ภาคส่วนต่างๆ ในระบอบ เป้าหมายเหล่านี้มีไว้เพื่อปกป้องให้โซเวียตสามารถปลดภัยจากการรุกรานของกองกำลังปฏิกิริยาทั้งจากนอกประเทศและภายในประเทศ ไปพร้อมกับการสร้างความมั่นคงทางการเมืองผ่านการรวบอำนาจและทรัพยากรทางเศรษฐกิจให้อยู่ภายใต้การควบคุมของพรรคบอลเชวิค ซึ่งได้สร้างกลุ่มชนชั้นนำใหม่ในเวลาต่อมา
อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์ของการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจแบบสังคมนิยมที่รัฐใช้การวางแผนจากส่วนกลางก็ไม่ได้นำไปสู่การสร้างความอุดมสมบูรณ์แก่ผู้คนหมู่มากอย่างที่สัญญาไว้ เพราะสามัญชนจำนวนมากยังมีชีวิตที่ลำบากอยู่ มีมุขตลกหนึ่งในยุคที่โจเชฟ สตาลิน (Joseph Stalin) ซึ่งใช้การสั่งการจากรัฐในการควบคุมระบบเศรษฐกิจอย่างเข้มข้น หากถามว่า “อดัมส์และอีฟ (มนุษย์คู่แรกของโลกตามความเชื่อของศาสนาคริสต์ - ผู้เขียน) มีเชื้อชาติอะไร” คำตอบคือ “โซเวียตอย่างแน่นอน” ก็คนกลุ่มไหนเล่าจะเดินไปมาด้วยเท้าเปล่าและร่างที่เปลือย แบ่งแอปเปิลลูกหนึ่งด้วยกัน และคิดว่ากำลังอาศัยอยู่บนสวรรค์ อย่างไรก็ตาม รัฐโซเวียตได้ตีความมุขตลกข้างต้นว่าเป็นอาชญากรรม เพราะเป็นการต่อต้านนโยบายของรัฐในรูปแบบหนึ่ง
ในบางช่วงเวลา ผู้นำของโซเวียตก็สำเหนียกถึงความไร้ประสิทธิภาพของนโยบายแบบสังคมนิยม ผู้นำบางรายจึงมีการผ่อนปรนให้เอกชนมีเสรีภาพทางเศรษฐกิจได้บ้างในบางระดับ เช่น กรณีของมีฮาอิล กอร์บาชอฟ (Mikhail Gorbachev) ผู้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการทั่วไปคนสุดท้ายของพรรคบอลเชวิค ได้พยายามใช้นโยบายอนุญาตการใช้เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น (glasnost) และการให้เสรีภาพทางเศรษฐกิจแก่เอกชนไปพร้อมกับลดบทบาทรัฐในการตัดสินใจจากส่วนกลาง (perestroika) เพื่อแก้ไขความชะงักงันของเศรษฐกิจโซเวียตอันเกิดจากการวางแผนมาอย่างยาวนาน และปรับให้โซเวียตสามารถก้าวตามโลกได้ทัน
กอร์บาชอฟก็ไม่ใช่ผู้นำโซเวียตคนแรกที่มีการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจเช่นนี้ เพราะผู้นำสหภาพโซเวียตคนแรกอย่าง วลาดิเมียร์ เลนิน (Vladimir Lenin) ก็ได้ปรับใช้แนวทาง “นโยบายเศรษฐกิจใหม่” (New Economic Policy – NEP) ที่มีการผ่อนปรนให้ผู้คนสามารถผลิตและแลกเปลี่ยนสินค้าผ่านกลไกตลาด โดยเลนินได้เสนอว่า รัฐยังมีบทบาทในการควบคุมภาคเศรษฐกิจที่สำคัญ เช่น การผลิตเหล็กกล้า การจัดหาถ่านหิน และการให้บริการรถไฟ แต่อิสระทางเศรษฐกิจถูกมอบให้เกษตรกรรมที่ครอบครองที่ดินขนาดเล็ก คนค้าขาย และช่างฝีมือ เพื่อทำการผลิตที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค ซึ่งอิสรภาพของคนกลุ่มนี้ไม่ได้ทำให้ระบอบคอมมิวนิสต์เผชิญกับอันตรายที่จริงจังหรอก ยิ่งกว่านั้น เลนินยังได้กล่าวเพิ่มเติมว่า การเปิดให้มีเสรีภาพทางเศรษฐกิจที่รัฐยังควบคุมอยู่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงรัสเซียจากสังคมที่เต็มไปด้วยไพร่ชาวนา (peasants) ให้กลายเป็นสังคมที่มีระดับการพัฒนาทุนนิยมกระฎุมพีเพียงพอต่อการเป็นแหล่งอนุบาลระบอบสังคมนิยมที่สมบูรณ์ตามแนวทางลัทธิมาร์กซ์ในนาคต
แต่การปฏิรูปให้รัฐมีบทบาทในทางเศรษฐกิจน้อยลงไม่ค่อยประสบความสำเร็จ โดยเฉพาะหลังจากการผงาดขึ้นเป็นผู้นำของสตาลิน เพราะรัฐโซเวียตในยุคสตาลินได้สร้างกลุ่มชนชั้นทางเศรษฐกิจที่เกิดจากกลุ่ม “สหาย” (cadets) ที่สามารถไต่บันไดทางสังคม ผ่านสายงานในพรรคบอลเชวิกและวิสาหกิจที่ควบคุมโดยพรรค สหายกลุ่มนี้ได้รับการเข้าถึงสินค้า ที่อยู่อาศัย และสวัสดิการที่มีคุณภาพดีกว่าคนส่วนใหญ่ในสังคมโซเวียต แรงจูงใจของคนกลุ่มนี้มักเป็นฐานทางการเมืองของการต่อต้านการเปิดเสรีทางเศรษฐกิจซึ่งแฝงนัยยะของการลดบทบาทของรัฐในการจัดการระบบเศรษฐกิจ ดังนั้น การเข้าถึงอำนาจรัฐเป็นหนึ่งในเงื่อนไขที่สำคัญที่สุดของการได้รับทรัพยากรในสังคมรัสเซียยุคสหภาพโซเวียต หรือแม้กระทั่งในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการล่มสลายของหสภาพโซเวียต ในช่วงปลายศตวรรษที่ 20 การเข้าถึงอำนาจรัฐยังเป็นจุดชี้ขาดว่า ใครจะสามารถก้าวขึ้นมาเป็นส่วนหนึ่งของ “ระบอบคณาธิปไตย” (oligarchy) ในรัสเซีย เพราะอำนาจรัฐช่วยให้ผู้คนสามารถเปลี่ยนทรัพยากรที่มีค่าของรัฐวิสาหกิจโซเวียตให้กลายเป็นสมบัติส่วนต้วของตนเองได้
ถ้าผู้เขียนขออนุญาตสรุปเนื้อหาเกี่ยวกับส่วนของระบบเศรษฐกิจในโซเวียตรัสเซียในหนังสือเล่มนี้ตามมุมมองของตนเอง ระบบเศรษฐกิจโซเวียตใช้ความชอบธรรมจากสงคราม ทั้งสงครามระหว่างรัฐและสงครามระหว่างชนชั้นในประเทศ เป็นสารตั้งต้นในการสถาปนาระบบเศรษฐกิจแบบสั่งการที่รัฐใช้การวางแผนจากส่วนกลางในการกำหนดเป้าหมายและหน้าที่ให้แก่หน่วยทางเศรษฐกิจที่มีขนาดย่อมลงไปในสังคม ถึงแม้ผู้นำบางรายของโซเวียตพยายามปฏิรูประบบเศรษฐกิจแบบสั่งการ แต่ระบบเศรษฐกิจข้างต้นได้สร้างชนชั้นนำรูปแบบใหม่ขึ้นจากระบบ และในท้ายที่สุด ชนชั้นนำใหม่กลุ่มนี้กลายเป็นกลุ่มที่ต่อต้านความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ หรือกล่าวแบบปลงต่อชีวิตได้ว่า ขบวนการปฏิวัติอาจสูญเสียพลังในการเปลี่ยนแปลงสังคมและเศรษฐกิจไปเมื่อได้รับอำนาจรัฐที่กลายเป็นรากฐานการค้ำยันอำนาจและผลประโยชน์ของขบวนการ อดีตพลังปฏิวัติได้กลายเป็นชนชั้นนำในระบอบใหม่ไปเรียบร้อยแล้ว
หนังสืออ่านเพิ่มเติม
Figes, Orlando. (2014). Revolutionary Russia, 1891-1991: A Pelican Introduction. London: Pelican.