East of Eden เป็นนิยายของนักเขียนรางวัลโนเบลชาวอเมริกันชื่อว่า จอห์น สไตน์เบ็ค (John Steinbeck) ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 1952 ชื่อ East of Eden ถูกตั้งขึ้นตามชื่อของดินแดนทาง “ทิศตะวันออกของสวนเอเดน” ในหนังสือปฐมกาล (Genesis) บทที่ 4 ของพระคัมภีร์ไบเบิลภาคพันธสัญญาเดิม ที่เคน (Cain) หลบหนีไปอาศัยอยู่เพื่อให้พ้นจากพระพักตร์ของพระเจ้าหลังจากฆ่าอาเบล (Abel) น้องชายของตัวเอง เนื่องจากอิจฉาที่พระเจ้ายอมรับฝูงแกะที่อาเบลนำมาถวาย แต่กลับเมินเฉยต่อพืชผลที่ตนถวาย เรื่องราวเริ่มต้นด้วยการบรรยายลักษณะของบริเวณที่สไตน์เบ็คเกิดและเติบโต และเป็น “ทิศตะวันออกของสวนเอเดน” ของเรื่อง นั่นคือ ซาลินัสวัลเลย์ (Salinas Valley) ในรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ว่าเป็นดินแดนที่มีทั้งความอุดมสมบูรณ์และความแร้นแค้นที่ผันแปรไปตามฤดูกาลและสภาพพื้นที่ในแต่ละจุด ความหลากหลายในพื้นที่เปรียบเปรยถึงธรรมชาติของมนุษย์ที่ต้องเผชิญกับความเลวและความดีอย่างไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
East of Eden ดำเนินเรื่องผ่านการเล่าถึงชีวิตและครอบครัวของตัวละครหลักที่ชื่อว่า อาดัม ทรัสค์ (Adam Trask) อาดัมเกิดที่รัฐคอนเน็คติคัตในปี 1862 พ่อของเขาชื่อว่าไซรัส (Cyrus) เป็นทหารผ่านศึกที่บาดเจ็บและรอดชีวิตกลับมาจากสงครามกลางเมืองสหรัฐอเมริกา (American Civil War) แม่ผู้ให้กำเนิดเขาฆ่าตัวตายตั้งแต่เขายังแบเบาะ ไม่นานหลังจากนั้น ไซรัสแต่งงานใหม่กับเด็กสาววัย 17 ปี ชื่อว่า อลิซ (Alice) และมีลูกชายอีกหนึ่งคน ชื่อว่าชาร์ลส์ (Charles) (สังเกตว่าอดัมมีชื่อขึ้นต้นด้วยตัว A เหมือนอาเบล และชาร์ลส์มีชื่อขึ้นต้นด้วยตัว C เหมือนเคน ในพระคัมภีร์) พี่น้องทั้งสองคนเติบโตมาด้วยกัน อลิซดูแลและ “ปฏิบัติต่อเด็กทั้งสองอย่างเท่าเทียมกัน” (p.37)1) แต่สภาพและนิสัยใจคอของไซรัสในครอบครัวได้จุดไฟอิจฉาในตัวชาร์ลส์ขึ้น ชาร์ลส์พยายามอย่างยิ่งเพื่อให้ได้ความรักจากพ่อ แต่ก็ยังรู้สึกว่าพ่อรักอาดัมมากกว่าตน ความรู้สึกนี้นำไปสู่ความขัดแย้งระหว่างพี่น้อง ชาร์ลส์ทำร้ายร่างกายอาดัมซึ่งสร้างรอยแผลในความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองไปจนกระทั่งทั้งสองฝ่ายตายจากกัน ความขัดแย้งนี้ผลักดันให้อาดัมเดินทางออกจากบ้าน ก่อนที่เขาจะตัดสินใจหลบหนีไปอยู่ที่ซาลินัสวัลเลย์และไม่ได้พบกับชาร์ลส์อีกเลย
ในซาลินัสวัลเลย์ อาดัมซื้อที่ดินและบ้านโดยหวังว่าจะสร้างชีวิตใหม่และครอบครัวที่อบอุ่นกับเคธี (Cathy) ภรรยาของเขา แต่เรื่องน่าเศร้าเกิดขึ้นเมื่อเคธีทิ้งเขาและลูกแฝด (ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นลูกของชาร์ลส์) ไปหลังจากคลอดเพียงหนึ่งสัปดาห์ เด็กชายทั้งสองมีชื่อว่า อารอน (Aron) และแคล (Cal) (สังเกตตัว A กับ C ในชื่อของคู่แฝด) พวกเขาเติบโตในวิถีของตนภายใต้อิทธิพลของอาดัมซึ่งมีนิสัยต่างจากไซรัสอย่างสิ้นเชิง แต่ทั้งคู่ก็ไม่วายต้องต้องเผชิญกับชะตากรรมคล้ายคลึงกับที่พ่อและอาของพวกเขา นั่นคือ การแสวงหาความรักจากพ่อ แคลทำทุกวิถีทางเพื่อให้อาดัมชมชอบตน แต่ดูเหมือนว่าอาดัมจะชื่นชมอารอนมากกว่า แคลเผชิญกับบาปเดียวกันกับเคนและชาร์ลส์ ความอิจฉาซึ่งครอบงำจิตใจเขาในชั่วขณะหนึ่งหลังจากที่อาดัมปฏิเสธของขวัญที่เขามอบให้ได้บงการให้เขาบอกความลับเกี่ยวกับเคธีที่เขารู้แต่อารอนไม่รู้ ความลับนี้ทำให้อารอนใจสลายและหนีไปสมัครเป็นทหารเพื่อร่วมรบในสงครามโลกครั้งที่ 1 ทั้งๆ ที่อายุเพียง 17 ปี (กฎหมายระบุว่าทหารต้องอายุ 18 ปีขึ้นไป แต่อารอนโกหกอายุของตนตอนไปสมัคร) ในตอนท้ายของเรื่อง เมื่อจดหมายแจ้งว่าอารอนตายในสงครามมาถึงบ้าน แคลรู้สึกผิดเต็มหัวใจ เขาสารภาพความผิดนี้กับอาดัม และขอให้อาดัมยกโทษให้ อาดัมเปล่งคำในภาษาฮีบรูว่า “ทิมเชล” (Timshel) ออกมา แล้วเรื่องก็จบลง
บทที่ 2 ของภาคที่ 3 ของ East of Eden เป็นบทสนทนาของตัวละครเกี่ยวกับการแปลหนังสือปฐมกาล 4:7 ของพระคัมภีร์ สาระสำคัญคือ พระคัมภีร์แต่ละฉบับมีการแปลคำว่า “ทิมเชล” ไม่เหมือนกัน บางฉบับใช้ “เจ้าจะต้อง” (thou shalt) บางฉบับใช้ “เจ้าจง” (do thou) แต่นี่คือคำแปลที่ไม่เหมาะสมเพราะ “เจ้าจะต้อง” แปลว่า “คนเราจะเอาชนะตัวบาปได้อย่างแน่นอน” ส่วน “เจ้าจง” คือการ “สั่งให้คนเอาชนะความชั่ว” คำแปลที่เหมาะสมคือ “เจ้าน่าจะ” (thou mayest) ซึ่งเป็น “คำที่ให้โอกาสเลือกทำได้ ซึ่งอาจจะเป็นคำพูดที่สำคัญที่สุดในโลกก็ได้” (p.483) และเป็นคำที่ “ทำให้พวกเรายิ่งใหญ่นะ คือส่งเสริมให้สูงส่งได้ดังพระเป็นเจ้าละ เพราะจิตใจที่อ่อนแอของเขา จิตที่สกปรกของเขา และจิตที่เป็นฆาตกรของเขาผู้เป็นพี่ชาย (เคน) นั้นจะมีทางเลือก... เขาสามารถเลือกแนวปฏิบัติของตนเอง และเลือกการต่อสู้โดยใช้แนวทางของตนเองให้สามารถประสบชัยได้” (p. 484)
คติสำคัญจากเรื่องราวของเคนกับอาเบลในพระคัมภีร์มาถึงอาดัมและครอบครัวของเขาใน East of Eden ก็คือ ถึงแม้ว่าการแสวงหาความรัก ความอิจฉา และความขัดแย้งในครอบครัวจะสร้างภาระหนักอึ้งในการดำรงชีวิตแก่บุคคล เป็นเหมือนชะตากรรมแห่งบาปที่ส่งต่อมาทางสายเลือดและครอบครัว แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าบุคคลจะต้องทำใจยอมรับชะตากรรมที่ถูกส่งต่อมา และสานต่อความเลวร้ายนั้นโดยไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ตรงกันข้าม โดยเนื้อแท้แล้ว “เจ้าน่าจะเอาชนะบาป” (thou mayest rule over sin) (p.483) บุคคลมีความสามารถในการเลือกทำสิ่งที่ถูกต้องเพื่อกำหนดชะตากรรมของตนเอง
East of Eden จึงเป็นนิยายที่ชี้นำจริยธรรมในการดำรงชีวิต แต่คำถามของผู้เขียนในฐานะนักเศรษฐศาสตร์ก็คือ บุคคลหนึ่งสามารถใช้ปัญญาและความดีของตนในการมีอิสระเหนือชะตากรรมทางเศรษฐกิจที่ส่งต่อกันในครอบครัวมากน้อยเพียงใด
ประวัติศาสตร์แสดงให้เห็นว่าผู้คนมากมายมีทางเลือกน้อยเหลือเกินในการกำหนดชีวิตตนโดยอิสระจากชะตากรรมทางเศรษฐกิจที่ถูกส่งผ่านมาทางครอบครัว สามัญชนคนหนึ่งในยุโรปยุคกลางที่เกิดในครอบครัวคนเลี้ยงแกะยากจนก็จะเติบโตมากับแกะ เขาเริ่มช่วยครอบครัวทำงานตั้งแต่มีแรงมากพอ และจะเลี้ยงแกะไปตลอดชีวิต ช่องทางในการเปลี่ยนอาชีพหรือขยับสถานะทางสังคมพอมีอยู่บ้าง เช่น การไปเรียนเพื่อเป็นนักบวช การเป็นนักรบผู้เก่งกาจจนได้ยศทางการทหาร การแต่งงานกับลูกหลานขุนนางหรือผู้มีอันจะกิน หรือเกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆ ที่ทำให้เขาและครอบครัวไม่สามารถเป็นคนเลี้ยงแกะได้อีกต่อไป แต่ทั้งหมดนี้มีความเป็นไปได้น้อยมาก
ในโลกยุคปัจจุบัน ผู้คนมีช่องทางที่หลากหลายมากขึ้นในการทำมาหากิน สามัญชนคนไทยคนหนึ่งที่เกิดในครอบครัวยากจนซึ่งเลี้ยงวัวกันมาหลายรุ่น มีช่องทางมากขึ้นในการประกอบอาชีพอื่นที่แตกต่างไปจากบรรพบุรุษ เขาสามารถขายวัวแล้วนำมาใช้เป็นค่าเดินทางสำหรับไปหางานในเมืองใหญ่หรือแม้แต่ในต่างประเทศ แต่ช่องทางทำงานที่หลากหลายขึ้นไม่ได้หมายความว่าเขาเป็นอิสระจากความยากจนและสถานะทางสังคมที่ได้รับตกทอดมา หากเขาย้ายออกจากบ้านในชนบทไปทำงานโรงงานในเมือง เขาอาจจะต้องทำงานหนัก อาศัยอยู่ในห้องเช่าแออัด และได้รับค่าแรงเพียงน้อยนิด เนื่องจากในวัยเด็กเขาต้องช่วยที่บ้านเลี้ยงวัวทำให้เรียนหนังสือไม่เต็มที่ ไม่ได้รับสารอาหารและทำกิจกรรมที่เหมาะสมกับการเจริญเติบโต แถมยังไม่มีโอกาสได้เห็นโลกนอกหมู่บ้านของตน ทั้งหมดนี้หมายความว่า ความยากจนของครอบครัวจำกัดโอกาสในการเข้าถึงทักษะและความรู้ที่ตลาดแรงงานให้ความสำคัญ
การเปลี่ยนแปลงสถานะทางสังคม (social mobility) มีทั้งแบบเลื่อนขึ้น (upward) คือคนที่เกิดในครอบครัวยากจนและมีสถานะทางสังคมต่ำสามารถยกระดับสถานะของตนให้สูงขึ้น และแบบเลื่อนลง (downward) คือคนที่เกิดในครอบครัวร่ำรวยและมีสถานะทางสังคมสูงแต่สถานะลดระดับลงเมื่อเติบโตขึ้น หากเรามองไปที่คนที่เกิดในครอบครัวยากจนคนหนึ่ง ปัจจัยหลายประการในครอบครัวกำหนดความเป็นไปได้ที่เขาจะสามารถยกระดับตนเองและครอบครัวให้หลุดพ้นไปจากความยากจนที่ได้รับสืบทอดมา ไม่ว่าจะเป็นการเลี้ยงดูตั้งแต่แรกเกิด สารอาหารที่ได้รับ การปลูกฝังค่านิยมในการดำเนินชีวิต หน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบในครอบครัว สุขภาพที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม สภาพที่อยู่อาศัย ท่ามกลางปัจจัยเหล่านี้ โอกาสในการเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพซึ่งแน่นอนว่าสัมพันธ์กับความสามารถของครอบครัวในการสนับสนุนการศึกษา ถูกมองว่าเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุด (Haveman and Smeeding 2006; Goldthrope 2016)
ในปี 2020 World Economic Forum ได้คำนวณดัชนีการเปลี่ยนแปลงสถานะทางสังคม (Social Mobility Index) ของประเทศต่างๆ จำนวน 82 ประเทศ แล้วเผยแพร่ในรายงานชื่อว่า The Global Social Mobility Report 2020: Equality, Opportunity, and a New Economic Imperative ปรากฏว่าประเทศพัฒนาแล้วมีดัชนีสูงกว่าประเทศกำลังพัฒนาอย่างชัดเจนดังที่แสดงในภาพที่ 1 ซึ่งหมายความว่าปัจจัยนานาประการในประเทศพัฒนาแล้วเอื้อให้ผู้คนมีโอกาสเปลี่ยนสถานะทางสังคมสูงกว่าในประเทศกำลังพัฒนา เมื่อพิจารณาเป็นรายประเทศพบว่าประเทศที่มีดัชนีสูงที่สุดคือประเทศเดนมาร์ก ประเทศที่มีดัชนีต่ำสุดคือไอวอรีโคสท์ ในขณะที่ประเทศไทยอยู่อันดับที่ 55

ที่มา: https://www.visualcapitalist.com/ranked-the-social-mobility-of-82-countries/
ในกรณีของประเทศไทย Muthitacharoen and Burong (2023) ศึกษาข้อมูลการคืนภาษีของลูกจ้างที่มีการจ้างงานแบบเป็นทางการ (formal sector) และพบว่า หากแบ่งลูกจ้างออกเป็น 10 กลุ่มตามรายได้จากน้อยที่สุดไปหามากที่สุด ความน่าจะเป็นที่ลูกจ้างจะมีรายได้มีรายได้ขยับขึ้น 2 กลุ่มเป็นอย่างน้อยเมื่อเทียบรายได้ในปี 2009 กับปี 2018 (เช่น มีรายได้น้อยที่สุด 10% แรกของประเทศในปี 2009 แต่มีรายได้เพิ่มขึ้นไปอยู่ในกลุ่ม 20-30% ในปี 2018) อยู่ที่ 19% ซึ่งถือว่าค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ตัวเลขความน่าจะเป็นนี้ต่ำลงไปอีกในกลุ่มลูกจ้างเพศหญิง และมีความสัมพันธ์ทางลบกับอายุ นั่นคือ ยิ่งอายุมากยิ่งมีโอกาสเลื่อนระดับรายได้ยากขึ้น งานอีกชิ้นหนึ่งของปริตตา หวังเกียรติ (2020) ศึกษาว่าลูกหลานของแรงงานไร้ทักษะที่อพยพเข้ามาใช้แรงงานในกรุงเทพฯ ตั้งแต่กว่า 30 ปีที่แล้ว จำนวน 30 ครอบครัวสามารถยกระดับสถานะให้เหนือกว่าพ่อแม่ของตนได้สำเร็จหรือไม่ ผลการศึกษาพบว่าส่วนใหญ่มีการศึกษาสูงกว่าพ่อแม่ แต่เมื่อมองจากรายได้ พบว่าราวสามในสี่อยู่ในกลุ่มผู้ที่มีรายได้ต่อหัวน้อยที่สุด 20% แรกของประเทศ นั่นคือในทางเศรษฐกิจ กลุ่มตัวอย่างไม่ประสบความสำเร็จในการยกระดับสถานะ โดยสรุปแล้วการศึกษาทั้งสองชิ้นให้คำตอบที่คล้ายคลึงกัน กล่าวคือ การสลัดความยากจนที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษและการยกระดับสถานะทางสังคมในประเทศไทยเกิดขึ้นได้ค่อนข้างยาก
การศึกษาเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสถานะทางสังคมแทบทั้งหมดมุ่งหวังไปในทิศทางเดียวกัน นั่นคือ ต้องการให้สังคมมีพลวัต การเปลี่ยนแปลงสถานะทางสังคมเป็นไปโดยง่าย แต่หากเรามองว่า การเปลี่ยนแปลงสถานะทางสังคมมีทั้งแบบเลื่อนขึ้นและเลื่อนลง เมื่อมีคนที่เลื่อนสถานะขึ้นก็หมายความว่าคนอีกกลุ่มหนึ่งต้องลดสถานะลง แล้ว การที่สถานะทางสังคมของบุคคลสามารถเปลี่ยนแปลงโดยง่ายนั้นคือสิ่งที่ดีจริงหรือ?
ในสังคมอุดมคติที่ทุกคนมีกินมีใช้พอเพียงจนไม่ต้องสนใจว่าใครจะรวยแซงหน้าตน ในขณะที่ความมั่งคั่งของตนก็ไม่ได้ไปกดให้ใครมีคุณภาพชีวิตแย่ลง คำตอบก็คือ จริง แต่ปัญหาก็คือโลกเราทุกวันนี้ยังห่างไกลจากอุดมคติ แล้วการที่สถานะทางสังคมเปลี่ยนแปลงโดยง่ายเป็นเรื่องดีได้อย่างไร? Haveman and Smeeding (2006) คงตอบว่า เพราะการเปลี่ยนแปลงสถานะทางสังคมทำให้ “ใครก็ตามที่มีความสามารถและความมุ่งมั่นสามารถประสบความสำเร็จได้” คำตอบทำนองนี้สอดคล้องกับหลักการ “บุคคลควรได้รับผลตอบแทนที่เหมาะสมกับความสามารถ” (meritocracy) ดังนั้น คนที่เกิดในครอบครัวที่มีสถานะสูงแต่กลับไม่เก่งและไม่มุ่งมั่นพอก็ควรมีสถานะต่ำลง ในขณะที่ “ใครก็ตามที่มีความสามารถและความมุ่งมั่นสามารถประสบความสำเร็จได้” แต่คำถามที่สำคัญก็คือ หลักการ “บุคคลควรได้รับผลตอบแทนที่เหมาะสมกับความสามารถ” นี้จะทำให้สังคมมุ่งหน้าเข้าหาอุดมคติที่ผู้คนไม่สนว่าสถานะทางสังคมของตนอยู่ตรงไหนได้จริงหรือ?
ของขวัญที่แคลมอบแก่อาดัมคือเงิน 15,000 ดอลลาร์ (มูลค่าในปัจจุบันน่าจะมากกว่า 300,000 ดอลลาร์) ซึ่งเขาหามาได้จากการเก็งกำไรราคาถั่วในช่วงสงคราม แต่อาดัมไม่ได้ภูมิใจในของขวัญชิ้นนี้และบอกแคลว่า “ลูกต้องเอาเงินนี้ไปคืน... คืนให้กับเกษตรกรทั้งหลายที่ลูกไปปล้นเขามา” แคเล็บตอบเสียงดังว่า “ปล้น?... ทำไมครับ เราจ่ายให้ชาวไร่สูงกว่าราคาตลาด... นะครับ” (p. 864) ในขณะที่แคลมองว่าตนมีความสามารถในการหาเงินมาได้ อาดัมกลับมองว่าเงินที่แคลหามาได้คือการ “ปล้น” เพราะว่าเกษตรกรมีรายได้น้อยกว่าที่ควรจะได้ “ทิมเชล” ของอาดัมจึงไม่ใช่การได้รับผลตอบแทนที่เหมาะสมกับความสามารถ
ตัวละครที่สำคัญมากตัวหนึ่งใน East of Eden คือลูกชาวจีนอพยพที่ทำงานเป็นคนรับใช้ตั้งแต่อาดัมเริ่มย้ายมาอยู่ในซาลินัสวัลเลย์ชื่อว่าลี (Lee) เมื่อเคธีหนีไป อาดัมหัวใจสลายไม่เป็นอันทำอะไรทั้งสิ้น ลีรู้ว่าครอบครัวทรัสค์ต้องการเขา เขาจึงสละความฝันในการมีร้านหนังสือเป็นของตัวเองในซานฟรานซิสโก แล้วทำงานเป็นคนรับใช้ของครอบครัวต่อไป เขากลายเป็นคนที่ดูแลทุกอย่างในบ้านรวมถึงเลี้ยงแคลและอารอนให้เติบโตขึ้นมาได้ ในตอนสุดท้ายของเรื่อง ลีรู้ว่าหากอาดัมตายก่อนที่จะยกโทษให้แคล แคลจะไม่มีทางรอดชีวิตจากบาปอันหนักอึ้งในใจ เขาจึงพาแคลไปหาอาดัมแล้วพูดว่า “ช่วยเขาด้วย ให้โอกาสเขาด้วย ขอให้เขาได้หลุดพ้นเสียเถิด การหลุดพ้นคือทุกสิ่งทุกอย่างที่มนุษย์เราดิ้นรน... ให้เขาเป็นอิสระเสียเถิด! ให้พรเขาเถิดขอรับ!” ในจังหวะนั้นเอง “ทิมเชล” ซึ่งเป็นคำพูดสุดท้ายจากปากอาดัมซึ่งกำลังจะตายเพราะเส้นเลือดในสมองแตกหลังจากได้ยินข่าวว่าอารอนตายจึงถูกเปล่งออกมา
ประเด็นสำคัญจากเหตุการณ์นี้ก็คือ การหลุดพ้นของแคลไม่ได้มาจากสามารถของตนเอง แต่เขาได้รับความช่วยเหลือจากลีคนที่เลี้ยงดูเขามาตั้งแต่เกิด ดูแลเขามาตลอดจนกระทั่งช่วยให้เขาหลุดพ้นจากบาปอันหนักอึ้งที่ส่งต่อมาจากบรรพบุรุษ สังคมอุดมคติที่ไม่มีใครสนใจว่าสถานะทางสังคมของตนจะเลื่อนขึ้นหรือลง และทุกคนหลุดพ้นจากบาปและความยากจนที่บรรพบุรุษส่งต่อมา ไม่สามารถเกิดขึ้นได้จากหลักการ “บุคคลควรได้รับผลตอบแทนที่เหมาะสมกับความสามารถ” ในทางตรงกันข้าม มันเกิดได้จากการเสียสละเพื่อผู้อื่นและการช่วยเหลือกันและกัน นั่นคือเมื่อบุคคลเลิกมองว่าความสามารถของตนเหมาะสมกับสถานะใด
เชิงอรรถ
1)เลขหน้าตลอดทั้งบทความมาจาก อีสต์ ออฟ อีเดน (East of Eden) ฉบับแปลไทยโดยณรงค์ จันทร์เพ็ญ จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ไทยควอลิตี้บุคส์ ในปี 2013
เอกสารอ้างอิง
Goldthrope, John. 2016. Social class mobility in modern Britain: changing structure, constant process. Journal of the British Academy, 4, 89-111.
Haveman, R. and T. Smeeding. 2006. The Role of Higher Education in Social Mobility. The Future of Children, 16(2), 125-150.
Muthitacharoen, A. and T. Burong. 2023. Climbing the economic ladder: Earning inequality and intragenerational mobility among Thai formal workers. Journal of Asian Economics, 89.
World Economic Forum. 2020. The Global Social Mobility Report 2020: Equality, Opportunity, and a New Economic Imperative. Retrieved from https://www3.weforum.org/docs/Global_Social_Mobility_Report.pdf
ปริตตา หวังเกียรติ. 2020. การเลื่อนชั้นทางสังคมข้ามรุ่นของคนจนเมือง ในเขตกรุงเทพมหานคร. วิทยานิพนธ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.