ปลุกเศรษฐกิจแสนล้านจากซากรถเก่าได้อย่างไร?

115 views

หลายท่านคงทราบดีว่า อุตสาหกรรมยานยนต์มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจไทย ไม่ว่าจะเป็นการผลิต การส่งออก หรือการจ้างงาน ล้วนสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับประเทศในระดับหลายแสนล้าน ไปจนถึงล้านล้านบาทต่อปี เกือบ 7 ทศวรรษที่ผ่านมา ประเทศไทยพัฒนาจนมีการผลิตรถยนต์เป็นอันดับหนึ่งในอาเซียน และอันดับ 10 ของโลก นับได้ว่าเราก็ประสบความสำเร็จพอสมควรเลยทีเดียว แต่เมื่อมองผ่าน Trend ความยั่งยืน ผมเชื่อว่าประเทศไทยของเรากำลังยืนอยู่บนเส้นทางการเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญ จาก S-curve เดิมที่เป็นยานยนต์สันดาป ไปสู่ S-curve ใหม่คือยานยนต์ไฟฟ้าและยานยนต์พลังงานทางเลือก ประเด็นที่ผมอยากชวนคุยวันนี้ไม่ใช่เรื่อง “การผลิต” แต่เป็น “การจัดการซากรถยนต์” ในมิติความยั่งยืนและเศรษฐกิจหมุนเวียน ผมคิดว่า ยังมีช่องว่างให้ยกระดับการจัดการซากรถยนต์ เมื่อถึงวาระสุดท้ายของการใช้รถยนต์ ได้อีกพอสมควร

ทำไมรถยนต์จึงเป็นขยะที่คนไทยไม่ทิ้ง?

ทุกท่านคิดว่ารถยนต์ควรมีอายุใช้งานได้กี่ปี โดยที่รถยนต์นั้นจะยังคงมีประสิทธิภาพและความปลอดภัยในการใช้งานได้อย่างดี โดยไม่สร้างมลพิษ

เพื่อให้เห็นภาพว่าคนไทยเราใช้รถยนต์นานแค่ไหน จากข้อมูลยอดขายรถยนต์ในรอบ 65 ปีที่ผ่านมา ไทยมียอดขายสะสมประมาณ 24.6 ล้านคัน แต่จนถึงปลายปีที่ผ่านมา (ปี 2567) ยังมีรถจดทะเบียนถึง 19.6 ล้านคัน แปลว่าคนไทยเลิกใช้รถไปเพียง 5 ล้านคันเท่านั้น เรามีรถที่มีอายุมากกว่า 15 ปี ถึง 6.5 ล้านคัน หรือ 1 ใน 3 ของรถที่เราเห็นบนท้องถนนเป็นรถที่ใช้มาเกิน 15 ปี

ทำไมคนไทยถึงใช้รถยนต์นาน?

เหตุผลหลักมาจากในอดีตรถยนต์มีราคาแพงมาก เพราะภาษีที่ปกป้องอุตสาหกรรม ยุคนั้นรถยนต์แพงพอๆ กับบ้าน คนซื้อจึงต้องใช้ให้คุ้ม เสียก็ซ่อม จนกว่าจะใช้ไม่ได้จริงๆ ถึงจะเลิกใช้และขายต่อ แล้วรถยนต์ที่ขายต่อก็วนไปเป็นรถที่ใช้ในต่างจังหวัด กล่าวคือ รถยนต์ก็ยังใช้กันต่อ แม้จะเก่าแล้วก็ตาม ทำให้เรามีรถยนต์เก่าเยอะในบ้านเรานั่นเอง นอกจากนี้ อีกเหตุผลหนึ่ง ที่ผมยังไม่มีเวลาขยายความคืออัตราภาษีรถยนต์ประจำปีที่ไม่สะท้อนต้นทุนการใช้รถยนต์จึงทำให้คนไทยใช้รถยนต์นานขนาดนี้

ทีนี้ถ้ามองว่าเราใช้รถนานก็ดีแล้วไม่ใช่หรือ? ตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียนไม่ใช่หรือ? แล้วปัญหาที่ตามมาจากการใช้รถเก่าคืออะไร?

ผมคิดว่ามันก็ไม่ได้ตรงไปตรงมาแบบนั้น เพราะเมื่อถนนเรามีรถยนต์เก่ามากขึ้น ปัญหาที่ตามมามีอย่างน้อย 2 x 2 ด้าน จากการใช้และจากการทิ้ง รวมเป็น 4 ด้าน

  1. รถยนต์เก่าปล่อยมลพิษสูงกว่ามาตรฐาน ส่งผลต่อคุณภาพอากาศ
  2. รถยนต์เก่ามีมาตรฐานด้านความปลอดภัยต่ำกว่ารถสมัยใหม่ อุปกรณ์ส่วนควบไม่สมบูรณ์จากการเสื่อมสภาพเมื่อใช้งานนาน หากเกิดอุบัติเหตุ ความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินก็จะรุนแรงกว่ารถใหม่
  3. รถยนต์ที่เสียแล้วมีจำนวนไม่น้อยที่เจ้าของนำมาจอดทิ้งไว้ ไม่ว่าจะริมถนนหรือในที่สาธารณะ ดูแล้วก็ไม่เป็นระเบียบ เพิ่มความเสี่ยงด้านความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน และที่สำคัญคือเสียโอกาสนำทรัพยากรกลับมาใช้ใหม่
  4. เมื่อรถยนต์สิ้นอายุ ธุรกิจจัดการซากรถยนต์ในบ้านเราซึ่งเป็นกิจการขนาดเล็ก ก็ไม่ได้มีระบบการจัดการควบคุมมลพิษที่ดีพอ หรือมีการคัดแยกที่มีประสิทธิภาพ ทำให้มีขยะหรือวัสดุที่ไม่มีมูลค่าถูกเทรวมไปที่บ่อขยะทำให้มีความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมตามมา

ศักยภาพทางเศรษฐกิจที่ซ่อนอยู่

จากทั้ง 4 ข้อข้างต้น แม้รถยนต์เก่าจะมีปัญหาแฝงอยู่มาก แต่เราจะเห็นได้ว่า รถยนต์เก่าเหล่านี้ก็มี “คุณค่า” ที่ซ่อนอยู่เช่นกัน หากเรานำรถยนต์เก่าออกจากถนนมาเข้ากระบวนการใช้ซ้ำหรือรีไซเคิล เพราะรถยนต์ประกอบด้วยโลหะที่มีราคาขายได้ถึง 60-70% บางชิ้นส่วนก็มีราคาแพง ไม่ว่าจะเป็นชิ้นส่วนที่ยังสามารถนำมาใช้เป็นอะไหล่ได้ หรือชิ้นส่วนที่มีโลหะมีค่าผสม เช่น ท่อ catalytic converter ดังนั้น ตีกลมๆ ซากรถหนึ่งคัน น่าจะมีมูลค่าประมาณ 30,000 บาท แปลว่ารถยนต์ที่ใกล้สิ้นอายุของเราในอีกไม่นานนี้จะมีมูลค่าทางเศรษฐกิจเฉียดสองแสนล้านบาท

รถยนต์เกือบ 20 ล้านคันที่วิ่งอยู่ในปัจจุบัน จะทยอยหมดอายุในอีก 20 ปีข้างหน้า จึงเป็นแหล่งทรัพยากรที่มีมูลค่ามหาศาลหรือ urban mining หากเรามีระบบการจัดการที่ดี อีกทั้ง ในอนาคตจะมีแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าที่มีมูลค่าสูงอีกด้วย

แล้วเราจะทำอย่างไร? : คงต้องดูบทเรียนจากต่างประเทศ

ประเทศที่ถือเป็น best practice คือญี่ปุ่นและสหภาพยุโรป ซึ่งมีกฎหมายเฉพาะในการจัดการซากรถยนต์ โดยใช้หลักการ Extended Producer Responsibility (EPR) มีการกำหนดให้ผู้ผลิตรถยนต์รับผิดชอบจนถึงขั้นตอนสุดท้าย รวมถึงการติดตามว่าได้นำรถยนต์สู่กระบวนการรีไซเคิลจริง

เมื่อเลิกใช้รถยนต์แล้ว เจ้าของรถยนต์มีหน้าที่แจ้งการเลิกใช้ต่อกรมการขนส่ง เพื่อให้กรมออกใบรับรองการกำจัดซากรถยนต์ (Certificate of Destruction) ซึ่งเปรียบเสมือน “ใบมรณบัตรของรถ” เพื่อยืนยันว่า ได้นำรถยนต์คันนั้นออกจากระบบและเข้าสู่การรีไซเคิลอย่างถูกต้องแล้ว

เมื่อมีกฎหมายจัดการซากรถยนต์ก็ทำให้ปัญหาการทิ้งรถยนต์ในที่สาธารณะลดลง และการรีไซเคิลมีประสิทธิภาพโดยสามารถรีไซเคิลได้ถึง 95% ของน้ำหนักรถ เหลือเพียงเศษซาก ASR – Automobile Shredder Residue เพียง 50–70 กิโลกรัมต่อคันเท่านั้น ภาระต่อบ่อขยะก็ลดลง

ตอนนี้หลายประเทศก็เริ่มสนใจการจัดการซากรถยนต์มากขึ้น : มาเลเซีย เวียดนาม เขาก็ขยับแล้ว

ส่วนตัวผมคิดว่าออสเตรเลียน่าสนใจเพราะ เขาระบบควบคุมทะเบียนรถเข้มงวด แต่ก็ยังไม่มีกฎหมายจัดการซากรถยนต์ หรือ ELV Law โดยตรง ทำให้ประสิทธิภาพในการจัดการซากรถได้ยังไม่ดี คือทำได้เพียง 60–70% ทำให้เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจที่จะกู้คืนทรัพยากรที่มีค่ากลับมาใช้แทนที่จะไปจบที่บ่อขยะ

สิ่งที่ออสเตรเลียทำคือการออก “มาตรการความรับผิดชอบในผลิตภัณฑ์ระดับชาติ” หรือ National Stewardship Scheme (2026) ที่กำหนดให้ฝ่ายอุตสาหกรรม (ผู้ผลิต/ผู้นำเข้า) รับผิดชอบต่อการจัดการผลิตภัณฑ์เมื่อสิ้นอายุ (end-of-life) โดยครอบคลุมรถยนต์ที่มีน้ำหนักไม่เกิน 3.5 ตัน และมีการกำหนดหน้าที่ความรับผิดชอบระหว่างภาคอุตสาหกรรม ภาครัฐ และประชาชน โดยมีเงื่อนไขสำคัญที่จะทำให้แนวทางนี้สำเร็จได้คือ มีกลไกบังคับให้เจ้าของรถทุกคนต้องรับผิดชอบในการ “แจ้งเลิกใช้รถถาวร” พร้อมออกใบอนุญาตทำลายรถยนต์ (Certificate of Destruction: COD) นำรถเข้าระบบการจัดการผ่านผู้ได้รับอนุญาต (Authorized Collection and Treatment Facilities หรือ ACT/ATF) ซึ่งจะทำให้ภาครัฐสามารถติดตามรถยนต์ได้ตลอดช่วงอายุของรถยนต์

นอกจากนี้ ยังมีข้อเสนอสำคัญเรื่องการจัดการแบตเตอรี่ โดยจะห้ามส่งออกหรือทิ้งแบตเตอรี่ลงบ่อขยะ แต่ต้องลงทุนสร้างอุตสาหกรรมรีไซเคิลในประเทศ เพื่อสกัดแร่มีค่ากลับคืน สิ่งที่ออสเตรเลียทำนี้คือ reclaim economy ซึ่งการบังคับแจ้งเลิกใช้รถยนต์เป็นทางหนึ่งที่จะรับประกันได้ว่ารถยนต์ทุกคันจะเข้าสู่ระบบการจัดการซากที่มีประสิทธิภาพและติดตามได้ ทำให้มีโอกาสพัฒนาอุตสาหกรรมใหม่ที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น

บทเรียนสำหรับประเทศไทย

ผมคิดว่า แนวทางที่ไทยควรเดินมีอย่างน้อย 3 เรื่องสำคัญ ดังนี้

  1. อาจจะถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยต้องพิจารณาออกกฎหมายใหม่ ที่บูรณาการการจัดการซากรถยนต์โดยเฉพาะ ตามหลักการ EPR เหมือนญี่ปุ่นและยุโรป
  2. การควบคุมด้านทะเบียนรถยนต์ โดยเข้มงวดเรื่องการโอนกรรมสิทธิ์เมื่อขายต่อ และต้องแจ้งยกเลิกใช้เมื่อส่งรถยนต์เข้าสู่การรีไซเคิล โดยใช้กลไกของ Certificate of Destruction เพื่อปิดช่องว่างรถไร้เจ้าของและการนำไปใช้ในทางผิดกฎหมาย
  3. การกำกับดูแลผู้ประกอบการรีไซเคิลทั้งระบบรวมถึงเต็นท์รถ ให้มีมาตรฐาน ไม่มีการจอดรถในพื้นที่สาธารณะ ดำเนินการทางทะเบียนอย่างถูกต้อง และต้องดำเนินการจัดการเศษซากอย่างถูกต้องและตรวจสอบได้

โอกาสของไทยและ Trend ในอนาคต

หลังจากที่ประเทศไทยประสบความสำเร็จในฐานะผู้ผลิตรถยนต์อันดับหนึ่งของอาเซียน วันนี้เรากำลังยืนอยู่บนทางแยกที่ท้าทายและเป็นจังหวะที่สำคัญ จากจำนวนรถยนต์เก่าที่สะสมและการเปลี่ยนผ่านสู่ยานยนต์ไฟฟ้าและพลังงานใหม่ หากเราสามารถสร้างระบบจัดการซากรถยนต์ที่เหมาะสมกับบริบทของไทยได้จริง นี่จะไม่ใช่เพียงการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม แต่จะเป็นก้าวสำคัญในการสร้าง S-curve ใหม่ ที่จะดึงดูดการลงทุนใหม่ที่ Green มากขึ้น สร้างงานที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น และต่อยอดสู่เศรษฐกิจหมุนเวียนมูลค่าหลายแสนล้านบาท

ตอนนี้เราเป็นผู้นำการผลิตรถยนต์ในอาเซียน แต่ยังมีโอกาสที่จะเป็นผู้นำด้านการรีไซเคิลรถยนต์ที่ครบวงจรแห่งแรกของภูมิภาคอาเซียนอีกด้วย และนี่คือ Trend ที่ผมไม่อยากให้ประเทศไทยพลาดโอกาสนี้

หมายเหตุ

เนื้อหาบทความนี้ สรุปจากการพูดบนเวที Sustrend 2026 ที่จัดโดย The Cloud ร่วมกับ UNDP, สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, กรุงเทพมหานคร ร่วมด้วย ESCAP, The World Bank, Global Compact Network Thailand, มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์, มูลนิธิโลกสีเขียว และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืนอีกกว่า 20 องค์กร เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2568 ผมขอบคุณทางทีมผู้จัดงานที่นำเทรนด์ความยั่งยืนที่สำคัญ 45 เทรนด์จาก 15 วงการ มาแบ่งปันในเวทีแห่งนี้

เกรียงไกร เตชกานนท์
อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์