ระบบทุนนิยม และระบอบสังคมนิยมประชาธิปไตย

18 สิงหาคม 2568
2388 views

ในมุมเศรษฐศาสตร์ฝ่ายซ้าย ปัญหาทางเศรษฐกิจกับการเมืองเป็นประเด็นที่เชื่อมโยงกันอย่างแยกไม่ขาด และไม่สามารถแยกออกจากกันได้ แตกต่างจากปรัชญาเศรษฐกิจแบบเสรีนิยมและแนวคิดจำพวก Market Fundamentalism (แนวคิดที่เชื่อว่า ตลาดเสรีจะแก้ปัญหาทุกอย่าง) ซึ่งพยายามแยกการเมืองออกจากปัญหาเศรษฐกิจ

ฐานแนวคิดของเศรษฐศาสตร์เสรีนิยมเริ่มจากมุมมองว่า รัฐมีความบกพร่องหรือล้มเหลวในการดำเนินการทางเศรษฐกิจ การแทรกแซงเศรษฐกิจจากรัฐเป็นการละเมิดเสรีภาพของปัจเจกบุคคล ข้าราชการมีความเห็นแก่ตัว จึงต้องลดบทบาทรัฐให้มากที่สุด การแยกการเมืองออกจากเศรษฐศาสตร์ เพราะไม่ต้องการให้ภาครัฐและการเมือง (การเมืองในความหมายนี้ไม่ใช่เพียงแค่รัฐบาล แต่นับรวมถึงรัฐสภาและกลไกการกำกับดูแล) เข้าไปมีบทบาทกับระบบตลาดหรือระบบเศรษฐกิจทุนนิยม การแยกการเมืองออกจากเศรษฐกิจนี้เกิดขึ้นผ่านกระบวนการตัดค่าใช้จ่ายและภาษี การผ่อนปรนกฎระเบียบการกำกับดูแล การแปรรูปรัฐวิสาหกิจเป็นเอกชน อย่างไรก็ตาม ทฤษฎีเรื่องตลาดเสรีและรัฐล้มเหลวก็มีข้อโต้แย้งหลายประการ ดังนี้

ประการแรก ข้อเท็จจริงตลอดประวัติศาสตร์เศรษฐกิจที่ผ่านมา ระบบตลาดมักไม่สามารถปรับตัวเองเข้าสู่สภาวะสมดุลได้ หรืออย่างน้อยมันใช้เวลานับทศวรรษเพื่อให้ระบบตลาดฟื้นฟู ดังเห็นได้จาก ประชากรโลกต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบากจากปัญหาเศรษฐกิจหรือปัญหาการว่างงาน เช่น มหาวิกฤตเศรษฐกิจ (The Great Depression) ในทศวรรษ 1930 ผลผลิตมวลรวมภายในประเทศของสหรัฐอเมริกาลดลงถึง 30% อัตราการว่างงานสูงถึง 24% ซึ่งเพิ่มขึ้นจากเดิม 8 เท่า การแก้ไขปัญหาการว่างงานตามเศรษฐศาสตร์สำนักคลาสสิคด้วยการตัดงบประมาณภาครัฐยิ่งทำให้วิกฤตรุนแรงกว่าเดิม เพราะส่งผลให้อุปสงค์มวลรวมลดลง วิกฤตครั้งนั้นผ่านพ้นไปด้วยการที่รัฐต้องเข้ามากระตุ้นอุปสงค์มวลรวมของเศรษฐกิจ ด้วยการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน การจ้างงาน การเพิ่มสวัสดิการสังคม เช่น ประกันสังคม ประกันการว่างงาน เป็นต้น มหาวิกฤตเศรษฐกิจเป็นข้อสรุปว่าทฤษฎีของเศรษฐศาสตร์เสรีนิยมที่เน้นปล่อยกลไกตลาดปรับตัวนั้นไม่ใช่วิธีที่มีประสิทธิภาพเสมอไป

ตัวอย่างความล้มเหลวของตลาดอีกตัวอย่างคือ ปัญหาเศรษฐกิจชะงักงันที่มีเงินเฟ้อ (Stagflation) ในช่วง ทศวรรษ 1970-1980 ในสหราชอาณาจักร รัฐบาลอนุรักษ์นิยมของมาร์กาเร็ต แธตเชอร์ เลือกใช้สูตรแก้ปัญหาตามเศรษฐศาสตร์เสรีนิยมใหม่ ซึ่งคือการจำกัดบทบาทของภาครัฐ ตัดงบประมาณสำหรับรัฐสวัสดิการ การออกกฎหมายเพื่อลิดรอนอำนาจของสหภาพแรงงาน แม้จะแก้ปัญหาเงินเฟ้อได้ แต่ต้องแลกมากับความเสียหายของชนชั้นแรงงานจำนวนมาก และมีคนตกงานมากถึง 3.3 ล้านคน ปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจทั่วโลกเป็นเครื่องพิสูจน์อย่างชัดเจนว่า กลไกตลาดล้มเหลวในการประกันคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชนเหนือความอดอยาก

ประการต่อมา การนำการเมืองออกจากเศรษฐกิจอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อประชาธิปไตยในทางอ้อม เพราะอำนาจการตัดสินใจนโยบายสำคัญทางเศรษฐกิจ ถูกโอนไปให้กลุ่มเทคโนแครต ผู้เชี่ยวชาญหรือขุนนางนักวิชาการที่เข้ามาวางแผนด้านเศรษฐกิจ เอาเข้าจริงแล้ว คนกลุ่มนี้เองก็ไม่ได้แยกขาดจากการเมืองแต่อย่างใด เพราะล้วนมีผลประโยชน์แอบแฝงกับกลุ่มชนชั้นนำทางเศรษฐกิจ ชนชั้นนำใช้คนกลุ่มนี้เป็นเครื่องมือรักษาผลประโยชน์ของตัวเอง กระบวนการดังกล่าวเป็นการตัดขาดการมีส่วนร่วมของประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งในการมีอำนาจตัดสินใจนโยบายทางเศรษฐกิจ และเป็นการเพิ่มอำนาจการจัดการสังคมให้แก่กลุ่มคนมีเงินหรือกลุ่มคนที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง

นอกจากนี้ การแยกการเมืองออกจากเศรษฐกิจยังเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เพราะทฤษฎีเศรษฐศาสตร์แต่ละสำนักล้วนมีรากฐานมาจากปรัชญาการเมืองอยู่ดี ไม่ว่าจะเป็นระบบทุนนิยมซึ่งมีรากฐานมาจากปรัชญาเสรีนิยม หรือระบบสังคมนิยมที่ก็วางอยู่บนฐานปรัชญาทางการเมืองอีกรูปแบบหนึ่ง ในปัจจุบัน ระบบเศรษฐกิจทั่วโลกล้วนวางอยู่บนฐานปรัชญาเสรีนิยมใหม่ที่พยายามลดบทบาทภาครัฐให้มากที่สุด แล้วปล่อยให้กลไกตลาดจัดสรรทรัพยากร แต่คำว่ากลไกตลาดนี้เป็นสิ่งนามธรรมอย่างมากในความเห็นของผู้เขียน เพราะสิ่งที่เป็นตัวชี้วัดว่าทรัพยากรและความมั่งคั่งจะไปถูกจัดสรรไปอยู่กับคนกลุ่มไหน ก็เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์อำนาจทางเศรษฐกิจและการเมืองอย่างแยกไม่ขาด

ในทางหนึ่ง เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่า ทุกวันนี้ คนรวยมีอำนาจมากกว่าคนจน นายทุนมีอำนาจมากกว่าแรงงาน นายจ้างมีอำนาจมากกว่าลูกจ้าง ยิ่งคนกลุ่มไหนมีความมั่งคั่งมาก อำนาจของคนกลุ่มนั้นยิ่งมากขึ้นไปด้วย ตัวอย่างที่ชัดแจ้งคือแนวนโยบายเศรษฐกิจไหลริน (Trickle-down Economics) ที่รัฐบาลสหรัฐอเมริกาสมัยโรนัลด์ เรแกน พยายามออกนโยบายเพื่อเอื้อประโยชน์ให้แก่กลุ่มทุน ด้วยการลดอัตราภาษีของผู้มีรายได้สูง ในขณะเดียวกันก็ตัดสวัสดิการของคนยากไร้และไม่เพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ นโยบายเศรษฐกิจแบบไหลรินได้นำไปใช้ในหลายประเทศเพื่อสร้างบรรยากาศการลงทุน ด้วยการลดภาษีของผู้มีรายได้สูง และการแข่งขันกันส่งออกแรงงานราคาถูกด้วยการตรึงค่าแรงตามกฎหมายให้อยู่ในระดับต่ำ

ในอีกทางหนึ่ง การที่กลุ่มคนร่ำรวยมีอำนาจทางเศรษฐกิจสูงมาก ก็ยิ่งทำให้ความเหลื่อมล้ำระดับโลกเพิ่มขึ้นมหาศาล เพราะทรัพยากรทางสังคมกระจุกอยู่ในการครอบครองของนายทุนหรือกลุ่มมหาเศรษฐีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น จากข้อมูลสถิติของ Oxfam พบว่า ในปี 2017 เพียงปีเดียว มหาเศรษฐีเพียงแค่ 8 คน ถือครองสินทรัพย์มากกว่าประชากรครึ่งหนึ่งของโลก (3.6 พันล้านคน) และรายงานเรื่องความเหลื่อมล้ำโลก ของสถาบัน Inequality Lab ในปี 2021 พบว่า กลุ่มคนที่รวยที่สุด 10% ของโลกครอบครองทรัพย์สิน 76% ของโลก ในขณะที่กลุ่มคนยากจนที่สุด 50% ของโลก ถือครองทรัพย์สินเพียง 2% ของทั้งหมด จากสภาพเช่นนี้ เราจะพูดเป็นอื่นได้อย่างไรว่า ระบบทุนนิยมไม่ใช่เผด็จการทางเศรษฐกิจ ในเมื่อกลไกของทั้งระบบกำลังทำงานรับใช้คนอยู่ไม่กี่กลุ่ม นอกจากนี้ ผู้เขียนยังไม่เห็นด้วยกับการที่เราจะพยายามแก้ต่างให้กับระบบทุนนิยมด้วยการเติมคำคุณศัพท์ (adjective) ให้กับระบบทุนนิยมว่าเป็นทุนนิยมสามานย์ ทุนนิยมพวกพ้อง หรืออะไรก็ตามแต่ เพราะความเหลื่อมล้ำที่เกิดขึ้นเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นระดับโลก และถึงที่สุดแล้วรากฐานระบบเศรษฐกิจของเรายังเป็นระบบทุนนิยม

เสียงกระแสหลักที่ไม่ค่อยพูดถึงอีกเรื่องหนึ่งคือ เศรษฐกิจเป็นประเด็นที่ครอบคลุมไปถึงประเด็นการทำงานและสภาพการทำงานด้วย การที่เศรษฐศาสตร์เสรีนิยมกีดกันการเมืองออกจากเศรษฐกิจทำให้คุณค่าประชาธิปไตยทางสังคมหยุดอยู่แค่หน้าประตูที่ทำงาน เราต้องยอมรับว่าต้นตอของความเหลื่อมล้ำในระดับย่อยสุดเกิดขึ้นในสถานที่ทำงานหรือโรงงานอุตสาหกรรม เมื่อก้าวเข้าไปที่ทำงาน ที่ทำงานกลายเป็นพื้นที่ที่เต็มไปด้วยอำนาจนิยมของนายจ้าง (workplace dictatorship) เพราะอำนาจต่อรองของนายทุนมากกว่าแรงงาน ประวัติศาสตร์โลกได้บันทึกการกดขี่แรงงานตั้งแต่จุดกำเนิดของระบบทุนนิยม เมื่อมีการปฏิวัติอุตสาหกรรม ก็มีการละเมิดสิทธิแรงงานเกิดขึ้นมากมาย อาทิ การใช้แรงงานกึ่งบังคับโดยไม่ได้รับค่าจ้าง การบังคับใช้แรงงานเด็ก การขูดรีดมูลค่าส่วนเกินจากแรงงานจากการกดค่าแรง และชั่วโมงการทำงานที่สูงถึง 18 ชั่วโมงต่อวัน ในสภาพการทำงานที่แร้นแค้นอย่างสุดขีด

ภายใต้ระบบทุนนิยม แม้ในทางการเมืองจะมีการเลือกตั้งเสรีเพียงใด ล้วนเป็นเพียงประชาธิปไตยครึ่งใบ เพราะขาดคุณค่าประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ ผู้เขียนเห็นว่ามุมมองต่อประชาธิปไตย ย่อมไม่อาจแยกขาดจากคุณค่าความเท่าเทียมและเสมอภาค สังคมจะเป็นประชาธิปไตยได้อย่างไร ในเมื่อโอกาสทางสังคม อำนาจของชนชั้น และทรัพยากรของคนส่วนใหญ่ มีน้อยกว่าคนส่วนน้อยที่ร่ำรวย ระบอบประชาธิปไตยควรจะเป็นระบบที่คน 1 คนมีสิทธิ 1 เสียง ไม่ใช่ระบบที่คนมีเงินพันล้านบาท หมื่นล้านบาท แสนล้านบาทมีเสียงมากกว่าคนอื่น

ทางเลือกอื่นนอกจากทุนนิยม ? : สังคมนิยมประชาธิปไตยจากฐานราก

สังคมนิยม (Socialism) คือแนวคิดที่เกิดขึ้นมาเพื่อพยายามแก้ไขปัญหาความไม่เป็นธรรมและไม่เท่าเทียมในโลกทุนนิยม เศรษฐศาสตร์สายสังคมนิยมพยายามนำเศรษฐศาสตร์บริสุทธิ์ในปัจจุบันกลับไปสู่ความเป็นเศรษฐศาสตร์การเมืองอีกครั้ง เป็นการวิเคราะห์เศรษฐกิจที่พยายามนับรวมตัวแปรและปัจจัยอื่น นอกจากการลงทุนและกำไร และพยายามนำคุณค่าประชาธิปไตยกลับคืนสู่ระบบเศรษฐกิจ

ผู้เขียนเข้าใจดีว่าเมื่อใช้คำว่าสังคมนิยม ผู้อ่านหลายคนย่อมนึกถึงสหภาพโซเวียต รัฐบาลเผด็จการของจีนหรือเกาหลีเหนือ ซึ่งเป็นรัฐบาลเผด็จการที่อำนาจรวมศูนย์ แต่แนวคิดสังคมนิยมประชาธิปไตยจากฐานรากเป็นสิ่งที่อยู่ตรงกันข้ามกับระบอบดังกล่าวอย่างสิ้นเชิง

Bernie Sanders นักสังคมนิยมประชาธิปไตย ได้ให้ความหมายของประชาธิปไตยว่า ประชาธิปไตยไม่ใช่เพียงแค่การเลือกตั้งหรือมีผู้แทนเพียงเท่านั้น แต่รวมถึงประชาชนมีสิทธิและอำนาจในการกำหนดอนาคตและชีวิตตัวเองในระดับประเทศและในชีวิตประจำวัน (Self Determination)

ผู้เขียนขอเปรียบเทียบแนวคิดความเป็นเจ้าของทรัพยากรระหว่างแนวคิดทุนนิยมกับแนวคิดสังคมนิยม แก่นกลางของระบบทุนนิยมคือ กรรมสิทธิ์เอกชน (Private Property) ผู้ที่มีความมั่งคั่งมหาศาลสามารถกว้านซื้อสินค้าหรือกลายเป็นเจ้าของทรัพยากรได้ ไม่เว้นแม้กระทั่งทรัพยากรสาธารณะ เช่น ที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติ หรือสิ่งแวดล้อม หรือแม้แต่การแปรเปลี่ยนทรัพยากรสาธารณะให้เป็นสินค้าเพื่อทำกำไร ในประเทศไทย คนรวยด้านบนสุด 20% ถือครองที่ดิน 80% ของที่ดินทั้งหมดในประเทศ นายทุนเพียง 1 คน ถือครองที่ดินเทียบเท่าจังหวัดสมุทรปราการทั้งจังหวัด (6.31 แสนไร่) และประชากรอีก 80 % แทบไม่มีที่ดินเป็นของตัวเอง (บางทีผู้อ่านอาจตงิดใจเล็กน้อยเวลาพูดเรื่องกรรมสิทธิ์เอกชน ถ้าอย่างนั้น คิดแบบนี้ก็แล้วกัน เมืองที่เราอยู่จะดีกว่านี้ไหม ถ้าเรามีพื้นที่สาธารณะให้พักผ่อนหย่อนใจ มีพื้นที่ให้ทำกิจกรรมสาธารณะโดยไม่ต้องเสียเงินจำนวนมาก หรือเราจะปล่อยให้พื้นที่สาธารณะ เช่น โรงภาพยนตร์สกาลาถูกนายทุนทุบทำลายลงไปเรื่อย ๆ และถูกแปรเปลี่ยนเป็นห้างขนาดใหญ่ที่คนส่วนใหญ่แทบเข้าถึงไม่ได้เลย)

เมื่อทรัพยากรกลายเป็นกรรมสิทธิ์เอกชนมากจนเกินไป และคนส่วนใหญ่ก็ไม่ได้มีสิทธิอำนาจในการเป็นเจ้าของทรัพยากร การตัดสินใจร่วมกันของสังคมย่อมน้อยลงไปด้วย ทั้งที่การใช้สอยทรัพยากรทางสังคมสร้างผลกระทบภายนอกในทางเศรษฐศาสตร์ เช่น การแปรเปลี่ยนพื้นที่เป็นสถานที่ท่องเที่ยว ย่อมส่งผลต่อการใช้ชีวิตคนในละแวกนั้น เช่น ราคาสินค้าแถวนั้นย่อมสูงขึ้นตามไปด้วย ผู้เขียนคิดว่าวิธีการแก้ไขปัญหาผลกระทบภายนอกที่ยั่งยืนที่สุดคือ การเพิ่มการตัดสินใจร่วมกันของชุมชน

นอกจากนี้ ในเรื่องความเป็นเจ้าของกิจการ เมื่อกิจการเป็นรูปแบบหนึ่งของกรรมสิทธิ์เอกชน การตัดสินใจร่วมกันภายในองค์กรย่อมมีน้อยหรืออาจไม่มีเลย อำนาจการตัดสินใจกลายเป็นเรื่องของเจ้าของกิจการ ฝ่ายบริหาร หรือผู้ถือหุ้น ทั้งที่อำนาจการตัดสินใจในประเด็นนโยบายและทิศทางของบริษัทเป็นสิ่งที่ส่งผลกระทบต่อคนทำงานในองค์กรทุกคน เช่น สวัสดิการ วันหยุด ภาระงาน การแบ่งหน้าที่ หรือแม้กระทั่งเรื่องเงินเดือน เมื่อมีการผูกขาดอำนาจการตัดสินใจไปอยู่ที่กลุ่มคนด้านบนสุด ย่อมทำให้เกิดวัฒนธรรมอำนาจนิยม ที่คนด้านบนสุดมีอำนาจสั่งการหรือบีบบังคับหรือกดดันคนทำงานในองค์กร กลุ่มคนที่มีอำนาจในองค์กรอาจตัดสินใจเอื้อผลประโยชน์แก่ตนเอง แม้ว่าแลกมาด้วยสวัสดิภาพของคนทำงานที่ลดลงก็ตาม วัฒนธรรมในองค์กรรูปแบบนี้คือ workplace dictatorship ที่คนส่วนใหญ่ไร้อำนาจการตัดสินใจร่วม

แก่นกลางของสังคมนิยมคือ การเป็นเจ้าของร่วมกันของสังคม (Collective Ownership) ในความหมายที่ว่า “คนส่วนใหญ่” ควรเป็นเจ้าของทรัพยากรสาธารณะ เช่น ปัจจัยการผลิต ที่ดิน เครื่องจักร โครงสร้างพื้นฐาน ทรัพยากรธรรมชาติ สังคมนิยมไม่ได้ปฏิเสธหลักการประชาธิปไตย แต่ต้องการขยายขอบเขตของประชาธิปไตยในสังคมให้กว้างมากที่สุด เพื่อให้ประชาชนมีบทบาทในการกำหนดควบคุมกลไกหรือโครงสร้างใดก็ตามที่ส่งผลต่อชีวิตเราทุกคน ตั้งแต่ระดับสถานที่ทำงาน ชุมชน ภูมิภาค ประเทศ การเมือง เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม ผ่านกลไกประชาธิปไตย การถกเถียง การสร้างฉันทามติ และการตัดสินใจร่วมกัน

แนวคิดการเป็นเจ้าของร่วมกันของสังคมนิยมนี้มีหลากหลายรูปแบบ ในที่นี้ จะขอยกตัวอย่างโมเดล สหกรณ์ (Cooperative) ซึ่งมีลักษณะสำคัญคือ ให้สิทธิคนในองค์กรทุกคนเป็นเจ้าของกิจการร่วมกัน และสมาชิกแต่ละคนมีสิทธิโหวตตัดสินใจในร่วมกันแบบ 1 สิทธิ 1 เสียง ยกตัวอย่างบริษัทสหกรณ์มอนดรากอน (Mondragon) ในสเปน มีคนงานเป็นเจ้าของร่วมกันเกือบ 70,000 คน ดำเนินกิจการกว่า 100 สาขา มียอดขายในปี 2010 อยู่ที่ 19,000 ล้านเหรียญสหรัฐ อีกตัวอย่างหนึ่งในสหราชอาณาจักร มีบริษัทชื่อห้างหุ้นส่วนจอห์น ลิวอิส (John Lewis & Partners) เป็นเจ้าของห้างสรรพสินค้าจอห์น ลิวอิส และซูเปอร์มาร์เก็ตเวตโรส กิจการทั้งสองกิจการนี้มีคนงานเป็นเจ้าของร่วมกันกว่า 80,000 คน นอกจากนี้ ในประเทศเยอรมนีและสวีเดนก็ยังมีระบบการเป็นเจ้าของร่วมกันอีกระบบหนึ่งที่เรียกว่า ระบบการตัดสินใจร่วม (Co-determination system) ซึ่งมีการเลือกตั้งตัวแทนของคนงานเป็นบอร์ดบริหารของบริษัท โดยตัวแทนคนงานจะมีสิทธิออกเสียงกึ่งหนึ่งในการตัดสินใจประเด็นสำคัญ ทั้งโมเดลทั้งสองแบบที่กล่าวข้างต้นคือรูปแบบของประชาธิปไตยในที่ทำงาน

รูปธรรมที่ชัดเจนของแนวคิดสังคมนิยมอีกตัวอย่างหนึ่ง คือระบอบรัฐสวัสดิการสังคมประชาธิปไตย (Social Democracy) รัฐสวัสดิการมีจุดประสงค์ที่สำคัญคือการทำให้ผู้คนเข้าถึงทรัพยากรและปัจจัยการดำรงชีวิตในขั้นพื้นฐาน การเรียกร้องรัฐสวัสดิการจึงต้องพยายามขยายสิทธิทางสังคมให้กว้างมากที่สุด เพื่อให้คนส่วนใหญ่เข้าถึงสวัสดิการและการดูแลจากสังคมมากที่สุด ในขณะเดียวกันก็พยายาม “ลด” การแปรรูปทรัพยากรเป็นสินค้าเอกชนให้น้อยที่สุด รวมถึงข้อเรียกร้องการเก็บภาษีอัตราก้าวหน้า หรือ Tax the rich ซึ่งเป็นกระบวนการหนึ่งของการลดความเหลื่อมล้ำและความไม่เท่าเทียมทางเศรษฐกิจ ผ่านการจัดเก็บภาษีแล้วนำรายได้นั้นมาจัดสรรกันใหม่

แม้แนวคิดสังคมนิยมจะเน้นเรื่องการเป็นเจ้าของร่วมและการตัดสินใจร่วมกันของสังคม แต่ไม่ได้หมายความว่า สังคมนิยมไม่ต้องการให้มีทรัพย์สินส่วนตัวในสังคมแต่อย่างใด สังคมนิยมมุ่งให้ความสำคัญกับภาคเศรษฐกิจ ระบบการผลิต และการถือครองทรัพยากรสาธารณะเป็นหลัก มุ่งเน้นขจัดกรรมสิทธิ์เอกชนที่ “ล้นเกิน” ในสังคมจนกระทบต่อความเป็นอยู่ของส่วนรวม ส่วนในแง่ทรัพย์สินส่วนตัวในชีวิตประจำวัน เช่น เสื้อผ้า โทรศัพท์ บ้าน รถ ฯลฯ ก็จะยังเป็นทรัพย์สินส่วนตัวของผู้คนเช่นเดิม ดังคำของ Jeremy Corbyn นักสังคมนิยม อดีตผู้นำพรรคแรงงานอังกฤษ ที่ว่า “สังคมนิยมไม่ได้หมายถึงการที่รัฐเข้ามาควบคุมทุกอย่าง แต่หมายถึงการควบคุมอย่างเป็นประชาธิปไตย”

เสฏฐวุฒิ พิลา
นักศึกษาเศรษฐศาสตร์นอกกระแส เชื่อว่าสังคมที่ความเสมอภาค เท่าเทียม และยุติธรรมล้วนเป็นไปได้และมีอยู่จริง เชื่อมั่นในรัฐสวัสดิการ ประชาธิปไตย และสังคมนิยม