ภาษีเขาเราจ่าย : สำรวจอดีต ปัจจุบัน และอนาคตของการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกา

2673 views

คงจะไม่ผิดนักหากจะกล่าวว่าศตวรรษที่ 21 ถือเป็นยุคแห่งโลกาภิวัตน์ที่แท้จริง ประชากรโลกกว่า 8 พันล้านคนไม่ได้ถูกยึดโยงกันด้วยเครือข่ายอินเทอร์เน็ตอย่างเดียว แต่ยังถูกโยงใยกันด้วยเครือข่ายการค้านานาชาติที่ซับซ้อนอีกด้วย หากเปรียบโลกทั้งใบเป็นโรงงานแห่งหนึ่ง เครือข่ายการค้านี้ก็เป็นดั่งสายการผลิตในโรงงานที่ลำเลียงวัตถุดิบจากสถานีหนึ่งไปยังอีกสถานีตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ สถานีที่ว่านั้นก็คือประเทศต่าง ๆ ที่มีส่วนร่วมในห่วงโซ่อุปทานโลก (Global Supply Chain) นั่นเอง

ห่วงโซ่อุปทานโลก (Global Supply Chain) มีส่วนช่วยขับเคลื่อนความเจริญทางวัฒนาการของมนุษย์ในหลายมิติด้วยกัน ประการหนึ่งคือ ความสามารถในการเข้าถึงทรัพยากรที่หลากหลายพ้นเขตแดนประเทศช่วยขยายขอบเขตในการผลิตสินค้าที่ซับซ้อนมากขึ้น ยิ่งผลิตภัณฑ์มีความซับซ้อนเท่าไหร่ ก็ยิ่งยากที่ชาติใดชาติหนึ่งจะจำกัดการผลิตสินค้าตามทรัพยากรของตนที่มีอยู่เท่านั้น การใช้ประโยชน์จากความได้เปรียบโดยเปรียบเทียบ (Comparative Advantage) ของแต่ละประเทศที่แตกต่างกันทั้งในแง่ต้นทุนและทักษะแรงงานช่วยทลายข้อจำกัดในการผลิตนี้ อีกทั้งยังช่วยให้กระบวนการผลิตมีประสิทธิภาพมากขึ้น หรือหากกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ “ถ้าเขาทำได้ ก็ให้เขาทำ”

ประโยคดังกล่าวไม่ใช่เพียงคำพูดติดปากของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตชาวไทยเท่านั้น แต่ยังเป็นแนวคิดที่แพร่สะพัดในแวดวงวิชาการยุโรปในศตวรรษที่ 18 อีกด้วย ในขณะนั้น อังกฤษและโปรตุเกสได้ลงนามในสนธิสัญญาเมธูเอน (Methuen Treaty) เพื่อยกเลิกการเก็บภาษีระหว่างกัน โปรตุเกสยกเลิกการเก็บภาษีนำเข้าผ้าขนแกะจากอังกฤษ ส่วนอังกฤษก็ยกเลิกการเก็บภาษีนำเข้าไวน์จากโปรตุเกส (Opello & Smith, 2025) อย่างไรก็ดี เมื่อโปรตุเกสมีความสามารถในการผลิตสินค้าทั้งสองชนิด ขณะที่อังกฤษมีความความสามารถในการผลิตไวน์ที่ด้อยกว่าโปรตุเกส แล้วทำไมโปรตุเกสจึงยังมีแรงจูงใจในการลงนามในสนธิสัญญานี้ ทั้งที่ตนก็สามารถผลิตสินค้าทั้งสองอย่างได้เอง?

เหตุการณ์ลักษณะดังกล่าวถูกอธิบายในเวลาต่อมา โดยเดวิด ริคาร์โด (David Ricardo) นักเศรษฐศาสตร์ชาวอังกฤษว่า แม้ว่าโปรตุเกสจะมีความสามารถในการผลิตสินค้าทั้งสองชนิด แต่โปรตุเกสมีความได้เปรียบโดยเปรียบเทียบ (Comparative Advantage) ในการผลิตไวน์เมื่อเทียบกับอังกฤษ ดังนั้นโปรตุเกสจึงได้ประโยชน์จากการใช้ทรัพยากรที่มีจำกัดของตนในการมุ่งผลิตและส่งออกไวน์ให้มีประสิทธิภาพ แล้วนำเข้าผ้าขนแกะจากอังกฤษ แทนการแบ่งทรัพยากรเพื่อผลิตทั้งไวน์และผ้าขนแกะ (Ward, 2024) คำอธิบายดังกล่าวช่วยต่อยอดแนวคิดของอดัม สมิธ (Adam Smith) นักเศรษฐศาสตร์ชาวอังกฤษในยุคก่อนหน้าว่า ความได้เปรียบโดยสัมบูรณ์ (Absolute Advantage) ไม่ใช่ปัจจัยกำหนดว่า ประเทศต่าง ๆ จะเข้าร่วมห่วงโซ่อุปทานได้หรือไม่ มิเช่นนั้นแล้ว ประเทศที่ไม่มีความสามารถเหนือประเทศอื่นในการผลิตสินค้าใดก็ตาม อีกเกือบสองร้อยประเทศทั่วโลกคงเข้าร่วมเครือข่ายการค้าโลกไม่ได้ (Ward, 2024) ซึ่งโลกความเป็นจริงก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้น

อดัม สมิธ (Adam Smith)
ที่มา: National Galleries Scotland)


เดวิด ริคาร์โด (David Ricardo)
ที่มา: National Portrait Gallery)

สนธิสัญญาเมธูเอน (Methuen Treaty) และตัวอย่างของเดวิด ริคาร์โด พอจะสื่อความได้ว่า “ฉันไม่ได้ดีกว่าทุกคน ฉันแค่ดีกว่าเธอ” ก็เพียงพอที่จะทำให้พลวัตของการค้าโลกดำเนินอย่างมีประสิทธิภาพต่อไปได้ และ “ถ้าเขาทำได้ ก็ให้เขาทำ” ไม่ได้แปลว่าเราจะไม่ทำอะไรเลย แต่หมายความเพียงว่า เราก็ควรจะไปทำอย่างอื่นที่เราพอทำได้บ้างเท่านั้นเอง

หากวันหนึ่ง คนที่เคยคิดว่า “ฉันที่ดีกว่าทุกคน” หันไปมองรอบตัว แล้วรู้สึกว่าไม่สามารถพูดประโยคนี้ได้อย่างเต็มปากอีกต่อไป จะเกิดอะไรขึ้น? นี่คงเป็นคำถามที่วนเวียนในวงสนทนาของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา นายสตีเฟน มิแรน ประธานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจของเขา และเหล่าคณะที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจทั้งหลายในช่วงระยะเวลาตั้งแต่ก่อนนายโดนัลด์ ทรัมป์จะขึ้นรั้งตำแหน่งประธานาธิบดีในสมัยที่สอง ในวันที่ 20 มกราคม 2025 (Faguy, 2025) เนื่องจากในช่วง 20 ปีที่ผ่านมานี้ สหรัฐอเมริกานำเข้าสินค้ามากกว่าส่งออก โดยเฉพาะหลังการแพร่ระบาดของ COVID-19 สหรัฐฯ ขาดดุลการค้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะเดียวกัน จีนได้พัฒนาจากประเทศที่มีมูลค่าการส่งออกสินค้าเกินครึ่งของมูลค่าการส่งออกของสหรัฐฯ เพียงเล็กน้อยเมื่อ 20 ปีที่แล้ว มาเป็นคู่แข่งสำคัญที่มีทั้งมูลค่าการส่งออกและการเกินดุลการค้าสูงกว่าสหรัฐฯ ได้ในปัจจุบัน (World Trade Organization, 2025)

มูลค่าส่งออกสินค้า มูลค่าการนำเข้าสินค้า
และดุลการค้าของสหรัฐอเมริกา
ที่มา: World Trade Organization (WTO)

มูลค่าส่งออกสินค้า มูลค่าการนำเข้าสินค้า
และดุลการค้าของจีน
ที่มา: World Trade Organization (WTO)

ในมุมของสหรัฐฯ แล้ว การค้าไม่ใช่เครื่องยนต์ที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้อย่างมีสมรรถนะอีกต่อไป ดังเห็นได้จากสัดส่วนมูลค่าการค้าต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (Trade to GDP ratio) ของสหรัฐฯ ที่ลดลงในช่วงหลัง (World Bank Open Data, 2025) อีกทั้งยังถูกประเทศกำลังพัฒนาต้นทุนการผลิตต่ำอย่างจีนแซงหน้าด้วย (World Trade Organization, 2025) “ถ้าเขาทำได้ ก็ให้เขาทำ” คงไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาที่ตรงจุดอีกต่อไป “ถ้าเขาทำได้ เราก็จะทำ” ก็น่าจะเป็นหนทางที่น่าสนใจมากกว่าแทน

สัดส่วนมูลค่าการค้าต่อผลิตภัณฑ์รวมในประเทศ (Trade to GDP ratio) ของสหรัฐอเมริกา
ที่มา: World Trade Organization

เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2024 นายสตีเฟน มิแรน (Stephen Miran) นักเศรษฐศาสตร์และประธานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจแห่งสหรัฐอเมริกาได้เผยแพร่บทความเรื่อง “A User’s Guide to Restructuring the Global Trading System” หรือที่ถูกเรียกกันอย่างลำลองว่า “Mar-a-Lago Accord” (Miran, 2024) บทความดังกล่าวเสนอแนวคิดว่า รากของปัญหาที่ฉุดรั้งความสามารถในการส่งออกของสหรัฐฯ คือ ค่าเงินดอลลาร์ และอัตราภาษีนำเข้า (Tariff)

มิแรนอธิบายว่าค่าเงินดอลลาร์สูงกว่าค่าเงินแท้จริง (Overvaluation) เพราะเงินดอลลาร์เป็นที่ต้องการในตลาดโลกเสมอ เนื่องจากเงินดอลลาร์ไม่ได้มีฐานะเป็นเพียงสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนสินค้าอย่างเดียว แต่ยังเป็นเงินสำรอง (Reserve Asset) ของธนาคารกลางหลายแห่งทั่วโลกอีกด้วย ดังนั้นค่าเงินดอลลาร์จึงไม่สามารถปรับเปลี่ยนตามกลไกอุปสงค์อุปทานในตลาดโลกได้อย่างสมบูรณ์ เมื่อเงินดอลลาร์แข็งค่ามากกว่าที่ควรจะเป็น สินค้านำเข้าจากต่างประเทศจะถูกลงในสายตาผู้ผลิตในสหรัฐฯ ส่วนสินค้าส่งออกจากสหรัฐฯ ก็จะแพงขึ้นในสายตาผู้บริโภคในตลาดโลก มิแรนระบุว่าภาวะการณ์ดังกล่าวไม่เพียงแต่ทำให้สหรัฐฯ ส่งออกสินค้าได้น้อยลงเพียงอย่างเดียว แต่ยังทำให้มีการนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น ผลของค่าเงินดังกล่าวจึงเบียดบังการขายวัตถุดิบของผู้ผลิตในประเทศ จนนำไปสู่ภาวะว่างงานจากการยกเลิกหรือการถดถอยของกิจการอีกด้วย


จำนวนลูกจ้างในภาคการผลิต (แกนซ้าย) และสัดส่วนต่อการจ้างงานทั้งหมด (แกนขวา)
ที่มา: Hudson Bay Capital

ในด้านอัตราภาษีนำเข้า มิแรนมองว่า การที่สหรัฐฯ มีจิตเอื้อเฟื้อและลดภาษีนำเข้าให้ประเทศคู่ค้าต่าง ๆ นับตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ไม่ว่าเพื่อช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจโลกหลังภัยสงคราม หรือเพื่อสร้างพันธมิตรในช่วงสงครามเย็น (Cold War) ส่งผลให้ในปัจจุบัน สหรัฐฯ กลายเป็นประเทศที่มีอัตราภาษีนำเข้าต่ำที่สุดในโลก ขณะที่ประเทศคู่ค้าที่สำคัญอย่างสหภาพยุโรปตั้งอัตราภาษีนำเข้าต่อยานยนต์จากสหรัฐฯ ที่ 10% และประเทศกำลังพัฒนาต่าง ๆ เช่น บังกลาเทศ ก็ตั้งอัตราภาษีที่สูงกว่านั้นมาก นอกจากนี้ มิแรนยังมองว่า สหรัฐฯ ยังถูกกีดกันจากมาตรการการค้าอื่นๆ อีกด้วย ด้วยเหตุดังกล่าว มิแรนจึงเห็นว่าการจูงใจให้ประเทศคู่ค้าของสหรัฐฯ ลดกำแพงทางการค้าทั้งที่เป็นภาษีและไม่ใช่ภาษี (Tariff and Non-Tariff Trade Barriers) เป็นวิธีกอบกู้เศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาที่เหมาะสม แต่เครื่องมือใดจะมีกำลังแรงได้มากเพียงนั้น? มิแรนเลือกใช้วิธีหนามยอกเอาหนามบ่ง…หรือชี้ทางให้มีการขึ้นภาษีนำเข้าต่อประเทศคู่ค้าของสหรัฐฯ นั่นเอง

หลังจากนั้นไม่ถึงปี ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ก็ได้ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าหลายระลอก ทั้งรายประเทศคู่ค้าในอัตราต่างตอบแทนหรือตามที่สหรัฐฯ อ้างว่าเอาเองว่า ประเทศคู่ค้าแต่ละประเทศนั้นเก็บนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ (Reciprocal Tariff) ในอัตราเท่าใด และรายภาคอุตสาหกรรม (Sectoral Tariff) กับสินค้าบางชนิด ในปัจจุบัน ไทยถูกสหรัฐอเมริกาเก็บภาษีนำเข้าต่างตอบแทน (Reciprocal Tariff) ในอัตรา 19% ขณะที่สินค้าสวมสิทธิ์จากประเทศอื่นจะถูกเก็บภาษีนำเข้าที่อัตรา 40% แม้ว่ายังไม่มีรายละเอียดหลักเกณฑ์การเป็นสินค้าสวมสิทธิ์ที่ชัดเจนก็ตาม (The White House, 2025)

การขึ้นอัตราภาษีนำเข้าอย่างมีนัยสำคัญกับประเทศคู่ค้าของสหรัฐฯ เกือบทุกประเทศ สร้างข้อสงสัยว่าราคาสินค้าในสหรัฐฯ จะเพิ่มสูงขึ้นตามมากน้อยเพียงใด? มิแรนชี้แจงไว้ในบทความดังกล่าวว่า ภายใต้เงื่อนไขที่เหมาะสม การเพิ่มขึ้นของอัตราภาษีนำเข้าจะทอนค่าเงินลง จนทำให้ราคาสินค้าของผู้บริโภคในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เช่น ในกรณีการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐฯ สหรัฐฯ ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากไทย ทำให้ผู้บริโภคในสหรัฐฯ ต้องการนำเข้าสินค้าจากไทยน้อยลง สหรัฐฯ จึงต้องการขายเงินดอลลาร์ แลกซื้อเงินบาท เพื่อชำระราคาสินค้าที่นำเข้าจากไทยน้อยลง เมื่อเงินบาทไม่เป็นที่ต้องการ เงินบาทก็จะอ่อนค่า (Depreciate) หรือถูกลง และเงินดอลลาร์ก็จะแข็งค่าขึ้น ราคาสินค้านำเข้าจึงมีโอกาสลดลงได้ ดังที่แสดงในสมการด้านล่างนี้

Pm = e (1+t) Px

โดยที่ Pm คือ ราคาสินค้านำเข้าในสหรัฐฯ (ดอลลาร์), Px คือ ราคาสินค้าส่งออกจากประเทศคู่ค้า (บาท), e คือ อัตราแลกเปลี่ยน (ดอลลาร์/บาท) และ t คือ อัตราภาษีนำเข้า ตามตัวอย่างนี้ มิแรนสมมติให้เพิ่มอัตราภาษีนำเข้าขึ้น 10% จนทำให้เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น 10% เป็นการชดเชย ดังแสดงได้จาก

Pm = 0.9 (1.1) Px

= 0.99Px

แม้ว่าตามคำอธิบายข้างต้น ผลกระทบจากการขึ้นภาษีนำเข้าต่อเศรษฐกิจในระดับมหภาคนั้นมีอยู่อย่างจำกัด แต่เหตุการณ์จริงเมื่อราวร้อยปีก่อนกลับไม่เป็นเช่นนั้นเสียทีเดียว เดิมทีแล้วสหรัฐฯ ใช้นโยบายแบบกีดกันการค้า (Protectionism) มายาวนานนับตั้งแต่ช่วงสงครามกลางเมือง (Civil War) จนเมื่อสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง สหรัฐฯ จึงได้ผ่อนคลายนโยบายการกีดกันการค้าลง (U.S. Department of State, n.d.) อย่างไรก็ดี ในช่วงเวลาดังกล่าว สหรัฐฯ ได้นำเข้าสินค้าจากยุโรปลดลงอยู่แล้ว เนื่องจากห่วงโซ่อุปทานในยุโรปชะงักลงจากสงคราม (Kaplan, 2023) วุฒิสมาชิกจำนวนหนึ่งในขณะนั้นได้ชี้ให้เห็นถึงผลดีต่อเศรษฐกิจจากการนำเข้าที่ลดลงในช่วงสงครามและผลักดันนโยบายกีดกันการค้า สหรัฐฯ จึงได้ออกกฎหมาย Fordney-McCumber Act ในปี 1922 กฎหมายดังกล่าวมีจุดประสงค์เพื่อสร้างความเสมอภาคระหว่างผู้ผลิตในและนอกสหรัฐฯ แม้ว่ากฎหมายมาตราดังกล่าวจะลดการนำเข้าสินค้าจากยุโรป โดยเฉพาะสินค้าทางการเกษตร ได้จริง แต่ก็ยังสร้างผลข้างเคียงอย่างอื่นอีกด้วย กล่าวคือ เมื่อยุโรปสามารถขายสินค้าได้ลดลง ยุโรปก็มีเงินชำระหนี้ที่เกิดขึ้นในช่วงสงครามลดลงเช่นกัน (U.S. Department of State, n.d.)

ผลข้างเคียงดังกล่าวไม่สามารถหยุดยั้งวุฒิสภาอเมริกันมิให้เพิ่มอัตราภาษีนำเข้าอีกระลอกได้ เนื่องจากห่วงโซ่อุปทานสินค้าทางการเกษตรของประเทศนอกสมรภูมิสงครามโลกครั้งที่หนึ่งไม่ได้รับผลกระทบจากภัยสงคราม โลกจึงเผชิญกับภาวะสินค้าการเกษตรล้นตลาด (Overproduction) แม้ว่าประโยชน์จากการขึ้นภาษีนำเข้ารอบที่แล้วต่อการฟื้นตัวของเกษตรกรอเมริกันจะมีอยู่อย่างจำกัด (U.S. Department of State, n.d.) แต่วุฒิสมาชิกส่วนหนึ่งก็ยังเห็นถึงความจำเป็นในการดำเนินนโยบายกีดกันการค้าเพิ่มเติมเพื่อปกป้องผู้ผลิตในประเทศอยู่ดี มิหนำซ้ำ เมื่อเศรษฐกิจถดถอยลงไปอีก ผู้ผลิตภาคอุตสาหกรรมจึงรู้สึกว่าตนเองก็ต้องการการปกป้องด้วยเช่นกัน (U.S. Department of State, n.d.) สหรัฐฯ จึงได้ออกกฎหมาย Smoot-Hawley Tariff Act ในปี 1930 ที่ขึ้นอัตราภาษีนำเข้ากับสินค้าอื่นๆ ในภาคอุตสาหกรรมเพิ่มเติม

ยังเป็นที่ถกเถียงกันว่ากฎหมาย Fordney-McCumber Act และกฎหมาย Smoot-Hawley Tariff Act เป็นเหตุของภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ของโลก (The Great Depression) ในทศวรรษต่อมาหรือไม่ แต่ก็เป็นที่ชัดเจนแล้วว่า กฎหมายทั้งสองฉบับทำให้ประเทศคู่ค้าของสหรัฐฯ ขึ้นอัตราภาษีตอบโต้ (Retaliation) จนทำให้มูลค่าการค้าระหว่างประเทศของโลกหดตัวลงราว 66% ในช่วงปี 1929 - 1934 (U.S. Department of State, n.d.)

โครงสร้างทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ และประเทศคู่ค้าได้แปลงโฉมไปอย่างมีนัยสำคัญในช่วงเกือบร้อยปีที่ผ่านมา การขึ้นอัตราภาษีนำเข้าโดยสหรัฐฯ จะส่งผลดีอย่างที่นักเศรษฐศาสตร์บางท่านในศตวรรษที่ 21 ได้วิเคราะห์ไว้หรือไม่… หรือการขึ้นอัตราภาษีนี้จะเป็นเพียงวงล้อประวัติศาสตร์โลกที่หมุนซ้ำรอยเดิม เป็นสิ่งที่ประชากรโลกยังต้องจับตามมองต่อไป

บรรณานุกรม

Faguy, A. (2025, January 20). Inauguration 2025: What to know about Trump taking office. BBC News. https://www.bbc.com/news/articles/c2kxzpwqq25o

Kaplan, E. S. (2023). The Fordney-McCumber Tariff of 1922. EHnet. https://eh.net/encyclopedia/the-fordney-mccumber-tariff-of-1922/

List of developing countries. World Trade Organization (2025). https://www.tfadatabase.org/en/developing-countries

Opello, W. C., & Smith, C. D. (2025, August 10). The 18th century. Encyclopedia Britannica. https://www.britannica.com/place/Portugal/The-18th-century#ref1565

Stephen Miran. (November, 2024). A User’s Guide to Restructuring the Global Trading System [Press Release]. Retrieved August 11, 2025, from https://www.hudsonbaycapital.com/documents/FG/hudsonbay/research/638199_A_Users_Guide_to_Restructuring_the_Global_Trading_System.pdf.

The White House. (2025, July 31). Further modifying the reciprocal tariff rates. The White House. https://www.whitehouse.gov/presidential-actions/2025/07/further-modifying-the-reciprocal-tariff-rates/

Trade (% of GDP) - United States. World Bank Open Data. (2025). https://data.worldbank.org/indicator/NE.TRD.GNFS.ZS?end=2024&locations=US&start=2005&view=chart

U.S. Department of State. (n.d.). Protectionism in the Interwar Period. Office of the Historian. https://history.state.gov/milestones/1921-1936/protectionism

Ward , C. (2024). England and Portugal, Cloth and Wine: Evidence for Comparative Advantage or Infant Industry? (dissertation, London School of Economics and Political Science).

World trade statistics 2024. WTO. (2025). https://www.wto.org/english/res_e/statis_e/world_trade_statistics_e.htm

จิดาภา ลู่วิโรจน์
อดีตนักศึกษาคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หลักสูตรนานาชาติ และ MSc Economics and Management - LSE