ในช่วงที่ผมยังเป็นนักเรียนมัธยมปลายและติดตามอ่านนิตยสาร “เย่อกับปลา” ในช่วงกลางทศวรรษ 2540 หนึ่งในคอลัมน์ที่ผู้เขียนมักจะอ่านแบบไม่ละเอียดนักคือ งานเขียนของบุหลัน รันตี เพราะนักเขียนผู้นี้ไม่ค่อยเล่าเรื่องตกปลาในบริเวณบังคะยูในบริเวณรัฐกระเหรี่ยงเป็นหลัก ทั้งที่ในบริเวณนั้นมีปลาที่หาตกได้ยากในประเทศไทยอย่าง ปลาช่อนงูเห่า และปลากดหัวเสี้ยม โดยคุณบุหลันมักเล่าเรื่องกิจกรรมทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างอื่นขนานกันไปด้วย เช่น การต้อนวัวข้ามพรมแดนมาขายในตลาดไทย การจับปลาแม่น้ำสวยงามตามคำสั่งซื้อของพ่อค้าในประเทศไทย การเข้าป่าล่าสัตว์ หรือแม้กระทั่งการต่อรองเจรจาเพื่อขอผ่านด่านกับทหารกระเหรี่ยง ซึ่งเป็นผู้มีอิทธิพลตัวจริงในบริเวณที่คุณบุหลันเข้าไปโลดแล่นและทำการจดบันทึกในช่วงปลายทศวรรษ 2520
ผมตัดสินใจหยิบหนังสือ “ย่ำไปในไพรเถื่อน” (บุหลัน รันตี 2547) ซึ่งเป็นการรวมข้อเขียนที่เคยตีพิมพ์ในนิตยสารเย่อกับปลามาอ่านอีกครั้งเพื่อตรองดูว่า ความรู้ทางเศรษฐศาสตร์และเศรษฐศาสตร์การเมืองที่ได้รับหลังจากการศึกษาในระดับปริญญาตรีเป็นต้นมาช่วยให้พินิจและพิจารณาหนังสือเล่มนี้จากมุมมองที่ต่างจากเมื่อครั้งมัธยมปลายหรือไม่ ผมพบว่าหนังสือเล่มนี้ยังเป็นการเล่าถึงประสบการณ์ของการเดินทาง ตกปลา และล่าสัตว์ ในบังคะยูเช่นเคย แต่ประสบการณ์เล่านี้ทำให้ผมเห็นถึงการทำงานของระบบทุนนิยมในพื้นที่ซึ่งตลาด รัฐสมัยใหม่ และกรรมสิทธิ์เอกชน ซึ่งล้วนเป็นพื้นฐานของระบบเศรษฐกิจปัจจุบัน ยังไม่ตั้งหลักอย่างมั่นคงมากนัก
ฉากหลังในหนังสือย่ำไปในไพรเถื่อนคือ บริเวณบังคะยูที่อยู่ภายใต้อ้อมกอดของเทือกเขาตะนาวศรีที่เป็นพรมแดนธรรมชาติระหว่างประเทศไทยกับสหพันธ์รัฐเมียนมา และได้รับความชุ่มชื้นจากแม่น้ำสาละวิน โดยเขตบังคะยูอยู่ภายใต้อิทธิพลของกลุ่มติดอาวุธกระเหรี่ยงที่สามารถประชันกับทหารจากรัฐส่วนกลางของเมียนมาในการแย่งชิงการควบคุมพื้นที่ในบริเวณตะวันออกเฉียงใต้ของเมียนมา ซึ่งมีพรมแดนที่ติดกับจังหวัดในภาคตะวันตกของไทยเช่น กาญจนบุรี และราชบุรี โดยรัฐกระเหรี่ยงมีอำนาจในการควบคุมบริเวณถึงขั้นตั้งด่านตรวจค้นสินค้าเพื่อให้ผู้คนจ่ายค่าผ่านทางหรือส่วย ดังที่คุณบุหลันบันทึกไว้ตอนต้อนฝูงวัวข้ามพรมแดนกลับมายังประเทศไทยแล้วต้องผ่านด่านตรวจในบริเวณหมู่บ้านที่อยู่ภายใต้การควบคุมของกองกำลังติดอาวุธกระเหรี่ยง หรือการอนุญาตให้สัมปทานผู้ประกอบการไทยเข้าไปตั้งปางไม้เพื่อทำการตัดไม้ส่งกลับไปขายยังตลาดไทย ในอีกนัยหนึ่ง การเข้าไปควบคุมกิจกรรมทางเศรษฐกิจของกองกำลังติดอาวุธกระเหรี่ยงแสดงให้เห็นว่า พื้นที่แห่งนี้มีองคาพยพที่ทำตัวประดุจผู้ถือครองอำนาจรัฐมากกว่าหนึ่ง หรือพื้นที่แห่งนี้ยังไม่ประสบพบกับความสำเร็จของการผูกขาดการใช้ความรุนแรงอย่างชอบธรรม (monopoly of legitimized violence)
แม้แต่ในช่วงเวลาที่สหพันธรัฐเมียนมาก้าวเข้าสู่กระบวนการพัฒนาประชาธิปไตย (democratization) ในช่วงปลายทศวรรษ 2550 ถึงต้นทศวรรษ 2560 พื้นที่บริเวณนี้ยังมีการแบ่งอำนาจอธิปไตยระหว่างกองกำลังส่วนกลางกับกองกำลังติดอาวุธกระเหรี่ยง ดังปรากฏในหนังสือของ SiuSue Mark (2023) ที่ศึกษาเรื่องการเมืองในการอ้างสิทธิ์เหนือการครอบครองและใช้ที่ดินในสังคมเมียนมาที่กำลังเผชิญกับกระแสคลื่นของการเปิดพื้นที่การเมืองไปพร้อมกับการเปิดเสรีทางเศรษฐกิจ หนังสือเล่มนี้ได้ผนวกเอาพื้นที่รัฐกระเหรี่ยงเป็นหนึ่งในกรณีศึกษาของการเมืองว่าด้วยที่ดิน (land politics) รัฐกระเหรี่ยงเป็นพื้นที่ซึ่งการเมืองที่ดินมีความซับซ้อน เพราะทั้งกองกำลังจากเมียนมาส่วนกลางและกองกำลังติดอาวุธกระเหรี่ยงต่างแข่งขันกันสถาปนาตนเป็นผู้ที่มีอำนาจในการยืนยันถึงสิทธิ์ที่มีต่อที่ดิน เช่นการเข้าไปยึดครอง (capture) ที่ดินของชาวบ้านหรือที่ดินร่วมของชุมชนเพื่อนำไปขายสัมปทานให้แก่บรรษัทข้ามชาติที่เข้ามาลงทุน หรือการปฏิบัติตนเป็นผู้ปกป้องที่ดินของผู้คนหรือชุมชนของชนพื้นเมืองจากการถูกรัฐเมียนมาหรือบรรษัทข้ามชาติเข้าไปครอบครอง สำหรับภาพการแย่งชิงสิทธิ์ของที่ดินในหนังสือเล่มนี้ เห็นได้จากการระบุว่าพื้นที่ตรงไหนครอบครองโดยกองทัพเมียนมาหรือกองทัพกระเหรี่ยง เพราะผู้ปกครองผืนดินที่ต่างกัน ย่อมออกนโยบายที่แตกต่างกันในการจัดการที่ดินของตนเอง ไล่ไปตั้งแต่การใช้พื้นที่ในการเพาะปลูกไปจนถึงรูปแบบการจ่ายค่าคุ้มครองในการผ่านด่าน
ผู้อ่านหลายท่านคงมีคำถามว่า ระบบทุนนิยมที่เกิดจากสภาพพื้นที่ซึ่งกลุ่มหนึ่งกลุ่มใดยังไม่สามารถสถาปนาอำนาจการปกครองที่มีลักษณะรวมศูนย์และมีการปะทะกันอยู่ประจำจะมีหน้าตาเป็นเช่นไร คำตอบคือระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมที่ยังไม่สมบูรณ์นัก แต่กลไกราคายังทำงานได้บางระดับ เพราะรัฐยังไม่รวมศูนย์อำนาจพอที่จะทำให้กรรมสิทธิ์เอกชนเกิดความเข้มแข็ง ระบบเศรษฐกิจเช่นนี้จึงทำให้ผู้คนเผชิญกับความไม่แน่นอนที่ไม่ได้มาจากปัจจัยทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะความขัดแย้งที่ใช้อาวุธอยู่มาก ในขณะเดียวกัน ระบบเศรษฐกิจยังมีเงื่อนไขบางประการที่ทำให้คนเข้าถึงทรัพยากรบางอย่างได้อย่างเปิดกว้างกว่าระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม อันมีระบบกรรมสิทธิ์ที่เข้มแข็งในการกีดกัน (exclude) ผู้คนที่ไม่ใช่เจ้าของ
สำหรับลักษณะของการพัฒนาระบบทุนนิยมที่ยังไม่ไปถึงขั้นสมบูรณ์สามารถเห็นได้จากกิจกรรมทางเศรษฐกิจของบุหลันที่เขียนเล่าในเรื่อง อย่างการจับปลาสวยงามเพื่อส่งออกไปยังตลาดในต่างประเทศ เช่น ทวีปยุโรป หรือญี่ปุ่น ดูผิวเผินแล้ว การเข้าไปจับปลาสวยงามในบริเวณบังคะยูเป็นการตอบสนองต่อพลังของทุนนิยมโลกที่ทะลวงเข้ามาหาสินค้าถึงผืนป่าในบริเวณรอยต่อระหว่างประเทศไทยกับสหพันธรัฐเมียนมา ราวกับพลังของการแสวงหากำไรของระบบทุนนิยมได้ก้าวข้ามความขัดแย้งระหว่างกองทัพเมียนมากับกองกำลังติดอาวุธกระเหรี่ยงให้ผู้คนเข้ามาผจญความเสี่ยงทั้งจากภัยสงครามและภัยธรรมชาติเพื่อแลกกับผลกำไรจากการขายสินค้าแปลกตา (exotic) ให้กับนักสะสมสัตว์น้ำที่มีกำลังซื้อในประเทศโลกที่หนึ่ง
แต่ในอีกด้านหนึ่ง การเข้าไปจับปลาสวยงามตามลำธารชวนให้นึกถึงกิจกรรมทางเศรษฐกิจขั้นฐานที่สุดของมนุษย์ คือการล่าสัตว์และหาของป่า (hunting and gathering) ซึ่งดำรงอยู่มาตั้งจุดกำเนิดของมนุษยชาติในยุคหิน โดยกิจกรรมนี้ในตัวมันเองก็ต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนอันเกิดจากสภาพธรรมชาติที่สูง และยังเกิดขึ้นภายใต้ผืนป่าบังคะยูที่ยังไม่มีการสำรวจอย่างเป็นระเบียบแบบแผนมากนัก การจับปลาในพื้นที่แห่งนี้จึงเพิ่มระดับของความไม่แน่นอนขึ้นไปอีก เนื่องจากการขาดข้อมูลในพื้นที่อันครอบคลุม การจับปลาในพื้นที่บังคะยูจึงเปรียบเสมือนกิจกรรมที่นำเอาระบบทุนนิยมข้ามชาติสมัยใหม่ที่สามารถทำให้แทบทุกอย่างในโลกกลายเป็นสินค้าที่ข้ามผ่านพรมแดนได้อย่างเสรี มาพบเจอกับการล่าสัตว์และหาของป่าอันรูปแบบการดำรงชีวิตอันพื้นฐานของมนุษย์ที่สามารถดำเนินได้ในขอบเขตพื้นที่จำกัดและไม่สามารถกำหนดความแน่นอนในการแสวงหากำไรได้มากนัก
แต่ในอีกด้านหนึ่ง การเข้าไปจับปลาสวยงามตามลำธารชวนให้นึกถึงกิจกรรมทางเศรษฐกิจขั้นฐานที่สุดของมนุษย์ คือการล่าสัตว์และหาของป่า (hunting and gathering) ซึ่งดำรงอยู่มาตั้งจุดกำเนิดของมนุษยชาติในยุคหิน โดยกิจกรรมนี้ในตัวมันเองก็ต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนอันเกิดจากสภาพธรรมชาติที่สูง และยังเกิดขึ้นภายใต้ผืนป่าบังคะยูที่ยังไม่มีการสำรวจอย่างเป็นระเบียบแบบแผนมากนัก การจับปลาในพื้นที่แห่งนี้จึงเพิ่มระดับของความไม่แน่นอนขึ้นไปอีก เนื่องจากการขาดข้อมูลในพื้นที่อันครอบคลุม การจับปลาในพื้นที่บังคะยูจึงเปรียบเสมือนกิจกรรมที่นำเอาระบบทุนนิยมข้ามชาติสมัยใหม่ที่สามารถทำให้แทบทุกอย่างในโลกกลายเป็นสินค้าที่ข้ามผ่านพรมแดนได้อย่างเสรี มาพบเจอกับการล่าสัตว์และหาของป่าอันรูปแบบการดำรงชีวิตอันพื้นฐานของมนุษย์ที่สามารถดำเนินได้ในขอบเขตพื้นที่จำกัดและไม่สามารถกำหนดความแน่นอนในการแสวงหากำไรได้มากนัก
กระนั้น ปัญหาโศกนาฏกรรมของส่วนรวมไม่ได้ปรากฏในหนังสือเล่มนี้ ซึ่งอาจเกิดมาจากสาเหตุหลายประการ เช่นความยากลำบากในการเข้าถึงพื้นที่บังคะยูที่ต้องเข้าใจเงื่อนไขทางภูมิศาสตร์ (เช่น เส้นทางการเดินเขตป่าหรือร่องน้ำสำหรับการล่องเรือ) เงื่อนไขทางการเมืองและสังคม (เช่น การเข้าใจสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างกองทัพเมียนมากับรัฐกระเหรี่ยงว่าควรเข้าไปในพื้นที่ช่วงไหน หรือความสัมพันธ์ส่วนตัวกับผู้คนในพื้นที่ซึ่งช่วยนำทางและประเมินสถานการณ์รอบตัว) หรือลักษณะของสินค้าที่ไม่อนุญาตให้ใช้เทคโนโลยีและเครื่องมือการจับปลาที่สามารถจับปลาได้ครั้งละปริมาณมาก ๆ แต่มีผลของการทำลายล้างสูง อย่างการใช้ไฟฟ้า วัตถุระเบิด หรือยาเบื่อ เพราะปลาสวยงามพวกนี้ต้องถูกจับส่งไปในลักษณะที่ยังมีชีวิตอยู่เท่านั้น หรือวิธีคิดของบุหลันเองที่กล่าวว่า หากจับปลาพวกนี้ไปขายให้แก่ตลาดในปริมาณที่มากเกินไป ราคาในตลาดก็จะตกต่ำลง ซึ่งวิธีคิดแบบนี้คล้ายกับพฤติกรรมของผู้ขายในตลาดแข่งขันไม่สมบูรณ์หลากหลายประเภท (imperfect competitive markets) ที่ผู้ผลิตหรือผู้ขายใช้การควบคุมปริมาณอุปทานสินค้าในการกำหนดราคาเพื่อแสวงหากำไรสูงสุด แต่ทั้งหมดทั้งปวงนี้เป็นการคาดเดาของผู้เขียนทั้งสิ้น สาเหตุของการปราศจากปัญหาโศกนาฏกรรมของส่วนรวมยังเป็นปริศนาต่อไป
โดยสรุปแล้ว การกลับมาอ่านงานเขียนของคุณบุหลัน รันตี ในนิตยสารเย่อกับปลาที่รวบรวมไว้ในหนังสือย่ำไปในไพร่เถื่อนไม่เพียงแต่ทำให้ผู้เขียนได้รับรู้ประสบการณ์การเดินทางและประกอบอาชีพของผู้คนที่เข้าไปในบริเวณของรัฐกระเหรี่ยง แต่ประสบการณ์เหล่านั้นยังชวนให้ผู้เขียนกลับมาทบทวนประเด็นพื้นฐานหลายประการในวิชาเศรษฐศาสตร์ เช่น ความสัมพันธ์ในการก่อตัวของรัฐและการพัฒนาเศรษฐกิจ การดำรงอยู่ของรูปแบบการผลิตแบบโบราณในยุคสมัยของระบบทุนนิยมข้ามชาติ และเงื่อนไขเชิงสถาบันในการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ สุดท้ายนี้ ผู้เขียนจึงขอเชิญชวนผู้ที่อยากเรียนรู้กิจกรรมทางเศรษฐกิจในไพรเถื่อนอ่านหนังสือเล่มนี้
เอกสารอ้างอิง
บุหลัน รันตี. 2547. ย่ำไปในไพรเถื่อน: ฝ่าพรมแดนเลือดรัฐกระเหรี่ยง เพราะเสียงเพรียกจากบังคะยู. บ้านหนังสือ.
Mark, SiuSue. 2023. Forging the Nation: Land Struggles in Myanmar’s Transition Periods. University of Hawai’i Press.