อ่านเรื่องสั้นของ โอ. เฮนรี กับมหาเศรษฐีในยุค Gilded Age

6 มิถุนายน 2568
144 views

“ ‘นั่งก่อนครับ’ ทนายความผมดอกเลาคางสองชั้นนามว่าโอลด์พอร์ท (Oldport) เอ่ย ‘ผมยังไม่ได้บอกคุณเกี่ยวกับส่วนที่แย่ที่สุด โอ้ นี่มันวิบากกรรมของคนรวยชัดๆ เอกสารยังไม่พร้อมให้เซ็น น่าจะมาวางพร้อมตรงหน้าคุณพรุ่งนี้ตอน 11 โมงนู้นครับ เพราะงั้นคุณก็จะว่างไปอีกวันหนึ่ง ต้องไปนอนให้ช่างตัดผมบิดจมูกอีกสองหนเลยครับคุณบลิงค์เกอร์ (Blinker) มีความสุขที่ทุกข์ของคุณไม่ได้นับรวมการตัดผมเข้าไปด้วยก็แล้วกันนะครับ’”

ข้อความเสียดสีคนรวยแบบแสบๆ คันๆ นี้มาจากเรื่องสั้นชื่อว่า “Brickdust Row” ซึ่งเป็นผลงานของยอดนักเขียนเรื่องสั้นชาวอเมริกันผู้ฝากผลงานไว้ในโลกวรรณกรรมมากกว่า 300 เรื่อง นามว่า โอ. เฮนรี (O. Henry)

โอ. เฮนรี คือนามปากกาของ วิลเลียม ซิดนีย์ พอร์เตอร์ (William Sydney Porter) เรื่องสั้นของเขาเป็นเรื่องประจำวันของคนทั่วไปที่เขาพบเจอ เขาใช้เวลามากมายในแต่ละวันเพื่อเดินไปตามซอกมุมต่างๆ ของเมืองเพื่อสำรวจการใช้ชีวิตของผู้คน นั่งแช่ในร้านเหล้าจนดึกดื่นเพื่อพูดคุยกับคนแปลกหน้า จากนั้นก็นำเรื่องราวในแต่ละวันมาผสมกับประสบการณ์และจินตนาการของตนเพื่อแต่งเป็นเรื่องสั้น ลักษณะเฉพาะตัวของเรื่องสั้นของเขาซึ่งเป็นที่รู้จักดีในหมู่นักอ่านก็คือ จะมีตอนจบหักมุม (twist end) หรือหากไม่ถึงขั้นหักมุม ก็จะมีวิธีการจบเรื่องที่ทำให้ผู้อ่านรู้สึกประหลาดใจ นี่ทำให้การอ่านเรื่องชีวิตประจำวันกลายเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นสำหรับผู้อ่าน

โอ. เฮนรีเกิดในปี 1862 ที่รัฐนอร์ธแคโลไรนา และเริ่มทำงานเป็นเภสัชกรตั้งแต่อายุ 19 ปี (ทำให้เขาเขียนเรื่องเกี่ยวกับยาและเภสัชกร เช่น “The Love-Philtre of Ikey Schoenstein”) ก่อนจะย้ายไปยังรัฐเท็กซัส (ทำให้เขาเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตในเท็กซัส เช่น “The Buyer from Cactus City”) เคยต้องโทษหนีคดีไปฮอนดูรัส (ทำให้เขาเขียนเรื่องเกี่ยวกับชีวิตในประเทศเขตร้อน (tropics) เช่น “A Ruler of Men”) ก่อนที่ภรรยาจะป่วยหนักจนเขาต้องกลับมาดูแลและต้องโทษจำคุก (เขาเขียนเรื่องสั้นขณะติดคุก แต่เขาพยายามปิดบังอดีตในคุก จึงไม่มีเรื่องเกี่ยวกับคุก) ก่อนจะลงหลักปักฐานเป็นนักเขียนอาชีพในมหานครนิวยอร์คตั้งแต่ปี 1902 จนกระทั่งเสียชีวิตในปี 1910 (เขามีเรื่องเกี่ยวกับผู้คนในนิวยอร์คนับร้อยเรื่อง เรื่องที่โด่งดังที่สุดเรื่องหนึ่งคือ “The Gift of the Magi” ซึ่งนักเรียนมัธยมในสหรัฐอเมริกาทุกวันนี้ก็ยังถูกบังคับให้อ่านอยู่)

ชีวิตส่วนใหญ่ของ โอ. เฮนรี จึงอยู่ในช่วงเวลาสำคัญในประวัติศาสตร์ของสหรัฐอเมริกาที่เรียกว่า “Gilded Age” หรือ “ยุคเคลือบทอง” นี่คือช่วงเวลาที่มีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นมากมาย เทคโนโลยีล้ำสมัยถูกนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน โรงงานอุตสาหกรรมติดตั้งเครื่องจักรขนาดใหญ่ทำให้ผลิตสินค้าได้จำนวนมากขึ้น มีบริษัทที่เติบโตจนกลายเป็นบริษัทขนาดยักษ์ ทั้งหมดนี้ทำให้เศรษฐกิจขยายตัวอย่างรวดเร็ว ผู้คนมีความฝันว่าชีวิตตนจะดีขึ้น และรู้ว่าสหรัฐอเมริกาจะกลายเป็นมหาอำนาจในไม่ช้า รูปที่ 1 แสดงรายได้ที่แท้จริงต่อหัวประชากรของสหรัฐอเมริกาตั้งแต่ปี 1833 ถึง 1912 ซึ่งจะเห็นว่าแทบไม่มีการเติบโตเลยในช่วงแรก การเติบโตเริ่มสังเกตได้ชัดเจนตั้งแต่ช่วงกลางทศวรรษ 1850 ก่อนที่จะพุ่งทะยานตั้งแต่ช่วงปลายทศวรรษ 1870


รูปที่ 1 รายได้ที่แท้จริงต่อหัวประชากรของสหรัฐอเมริกาตั้งแต่ปี 1833 ถึง 1912 ที่มา: Our World in Data (www.ourworldindata.org)

ในช่วงที่เศรษฐกิจเฟื่องฟูนี้เอง คนจำนวนหนึ่งกลายเป็นมหาเศรษฐีที่มีสมบัติมากมายจนยากที่จะจินตนาการว่าเป็นไปได้ ตัวอย่างของมหาเศรษฐีที่มีชื่อเสียงในยุคนั้นได้แก่ จอห์น ดี. รอคกีเฟลเลอร์ (John D. Rockefeller) ผู้ยิ่งใหญ่ในธุรกิจน้ำมัน แอนดริว คาร์เนกี (Andrew Carnegie) เจ้าของบริษัท Carnegie Steel Company ที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับเหล็กกล้า คอร์เนเลียส แวนเดอร์บิลท์ (Cornelius Vanderbilt) เจ้าพ่อธุรกิจขนส่ง เจ. พี. มอร์แกน (J. P. Morgan) ผู้ยิ่งใหญ่ในภาคการเงิน และ จอห์น เจคอบ แอสเทอร์ ที่ 4 (John Jacob Astor IV) ผู้มีอิทธิพลในด้านอสังหาริมทรัพย์ในมหานครนิวยอร์ค โอ. เฮนรีเองก็เคยเขียนถึงบุคคลเหล่านี้ในเรื่องสั้นของเขา เช่น ใน “The Trimmed Lamp” ตัวละครคุยกันถึงเรื่องการแต่งงานและรายได้ของเจ้าบ่าว ตัวละครตัวหนึ่งถามว่า “เธออยากจะเป็นมอร์มอนแล้วก็แต่งงานกับร็อคกี้เฟลเลอร์, แกลดสโตน ดาววี่, กษัตริย์สเปน และอีกหลายคนหรือไง?” แต่แน่นอนว่าเรื่องสั้นของเขาที่เล่าเรื่องของผู้มั่งมีจะเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นมา เช่น แม็กซ็เวลล์ (Maxwell) นักธุรกิจแห่งวอลล์สตรีทผู้งานยุ่งจนล้นมือแต่ก็ไม่ลืมขอผู้หญิงแต่งงาน แต่กลับลืมไปว่าตนแต่งงานกับผู้หญิงคนนั้นไปแล้วใน “The Romance of a Busy Broker” หรือร็อควอลล์ (Rockwall) เศรษฐีผู้เชื่อว่าเงินซื้อได้ทุกอย่างแม้แต่เวลาและความรักใน “Mammon and the Archer” เป็นต้น

บลิงค์เกอร์ใน “Brickdust Row” ที่กล่าวถึงไปแล้วตอนต้นบทความเป็นทายาทของเศรษฐีที่ร่ำรวยจากการทำบ้านให้เช่าและโรงแรม ซึ่งคือธุรกิจเดียวกับที่ครอบครัวแอสเทอร์สร้างความมั่งคั่งมาตั้งแต่บรรพบุรุษ แต่อันที่จริงอสังหาริมทรัพย์ไม่ใช่ธุรกิจที่สร้างมหาเศรษฐีได้มากที่สุด Rockoff (2012) เก็บสถิติของมหาเศรษฐีทั้งสิ้น 4,050 คน พบว่าอุตสาหกรรมการผลิต (manufacturing) เป็นแหล่งรายได้หลักของมหาเศรษฐี 996 คน ซึ่งมากเป็นอันดับหนึ่ง ตามมาด้วยมรดก (inheritance) 807 คน การค้าส่ง 474 คน การเงินและประกันภัย 356 คน แล้วจึงเป็นอสังหาริมทรัพย์ 355 คน อย่างไรก็ตามมหาเศรษฐีเหล่านี้ไม่ได้มีรายรับทางเดียว เมื่อพวกเขาร่ำรวยขึ้นจนมีเงินเหลือ พวกเขาก็จะคิดอ่านขยับขยายกิจการโดยมักจะนำทรัพย์สินของตนไปแสวงหารายได้จากภาคการผลิตอื่น เช่น เจ. ซี. เอนส์เวิร์ธ (J. C. Ainsworth) มีธุรกิจหลักคือให้บริการเรือกลไฟล่องตามม่น้ำในแคลิฟอร์เนีย แต่ก็มีธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในรัฐโอเรกอนด้วย ผลการศึกษาแสดงว่า ภาคการเงินและภาคอสังหาริมทรัพย์คือแหล่งรายได้รองของมหาเศรษฐีจำนวนมากที่สุด คือ 727 คน และ 644 คน ตามลำดับ

ประวัติศาสตร์มักฉายภาพให้มหาเศรษฐีเหล่านี้เป็นนักประดิษฐ์หรือผู้มีความเฉลียวฉลาดเป็นเลิศจึงสามารถสร้างความมั่งคั่งให้แก่ตนเองได้ ยกตัวอย่างเช่น เรื่องราวของโธมัส เอดิสัน (Thomas Edison) กับการเพียรพยายามในการคิดค้นหลอดไฟซึ่งถูกเล่าขานกันมาหลายสมัย เป็นต้น แต่ Destler (1946) กลับพบจากการศึกษามหาเศรษฐี 43 คน (ไม่มีเอดิสันในกลุ่มนี้) ว่า ส่วนใหญ่มีการนำเทคโนโลยีไม่ทางใดก็ทางหนึ่งมาประยุกต์ใช้เพื่อการพัฒนาธุรกิจของตน แต่มีเพียง 3 คนเท่านั้นที่เป็น “นักประดิษฐ์แท้ๆ” (genuine inventors) ได้แก่ ไซรัส แมคคอร์มิค (Cyrus McCormick: ผู้ประดิษฐ์เครื่องจักรทางการเกษตร) เฮนรี โรเจอร์ (Henry Rogers: ผู้ค้นคว้าวิธีการกลั่นน้ำมัน) และจอร์จ พูลแมน (George Pullman: ผู้ประดิษฐ์หัวรถจักร) แต่เมื่อพิจารณาวิธีการทางธุรกิจที่ดูจะส่งผลเสียต่อสังคม พบว่าการร่วมทุนและการควบรวมถูกนำมาใช้เพื่อครองตลาด มหาเศรษฐี 12 คนมีส่วนในการพัฒนาวิธีการมีอำนาจผูกขาดเหนือตลาด และ 5 คนมีส่วนในการพัฒนาวิธีการล็อบบี้รัฐบาลเพื่อให้ได้นโยบายที่ตนต้องการ

มหาเศรษฐีในยุคนั้นถูกขนานนามในภาษาอังกฤษว่า “Robber Barons” ซึ่งพอจะแปลเป็นไทยได้ว่า “ผู้ดีจอมโจร” การล็อบบี้นักการเมืองเพื่อให้ได้นโยบายที่เอื้อประโยชน์แก่ตน การควบรวมกิจการ การผูกขาด และกิจกรรมอื่นๆ ที่ดูจะผิดกับหลักจริยธรรมสำหรับการทำธุรกิจ ล้วนเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้คนในสังคมกังขาของวิถีแห่งความร่ำรวยของมหาเศรษฐี แต่สิ่งที่แย่ที่สุดที่เกิดขึ้นในสังคมที่ให้โอกาสกลายเป็นมหาเศรษฐีแก่คนเพียงหยิบมือก็คือ สังคมกำลังเผชิญกับปัญหาความเหลื่อมล้ำที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ความเหลื่อมล้ำทางรายได้และทรัพย์สินสามารถแสดงได้ในรูปที่ 2 และรูปที่ 3 เส้นสีแดงในรูปที่ 2 แสดงส่วนแบ่งรายได้ประชาชาติของผู้มีรายได้สูงสุด 1% ตั้งแต่ปี 1880 ถึง 1925 ส่วนเส้นสีน้ำเงินแสดงส่วนแบ่งรายได้ประชาชาติของผู้มีรายได้สูงสุด 10% ซึ่งทั้งสองเส้นแสดงว่า เหล่ามหาเศรษฐีที่มีรายได้มากมายในแต่ละปี คือผู้ที่ได้รับประโยชน์จากการขยายตัวทางเศรษฐกิจมากกว่าคนกลุ่มอื่น นั่นทำให้สัดส่วนของทรัพย์สินในมือคนกลุ่มนี้เมื่อเทียบกับทรัพย์สินทั้งหมดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั้งถึงจุดสูงสุด คือผู้ที่มีทรัพย์สินมากที่สุด 10% ถือของทรัพย์สินราว 80% ของทรัพย์สินทั้งหมดในประเทศในปี 1910 ดังที่แสดงในรูปที่ 3


รูปที่ 2 ส่วนแบ่งรายได้ประชาชาติของผู้มีรายได้สูงสุด 1% (เส้นสีแดง) และ 10% (เส้นสีน้ำเงิน) ของสหรัฐอเมริกาตั้งแต่ปี 1880 ถึง 1925 ที่มา: World Inequality Database (www.wid/country/usa)


รูปที่ 3 สัดส่วนการถือครองทรัพย์สินของผู้ที่มีทรัพย์สินมากที่สุด 1% และ 10% ของสหรัฐอเมริกาตั้งแต่ปี 1810 ถึง 2010 ที่มา: รูปที่ 10.5 ในบทที่ 10 ของ Piketty (2014)

ความเหลื่อมล้ำและความยากจนที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าวหมายถึงปัญหามากมายในสังคมอเมริกัน ไม่ว่าจะเป็นคุณภาพชีวิตย่ำแย่ โรคระบาด มลภาวะ และอาชญากรรม สิ่งเหล่านี้ถูกเคลือบปิดเอาไว้ด้วยทองคำแห่งความมั่งมีที่กำลังส่งแสงประกายเจิดจ้า นี่คือที่มาของชื่อ Gilded Age

ในมุมมองของมหาเศรษฐี เช่น คาร์เนกี (Carnegie, 1889) ความเหลื่อมล้ำและความยากจนคือปัญหาเกี่ยวกับ “การจัดการทรัพย์สินอย่างเหมาะสม (proper administration of wealth)” ผู้คนในสังคมมีความรู้และความสามารถในการจัดการทรัพย์สินไม่เท่ากัน จึงเป็นหน้าที่ทางจริยธรรมของคนรวยในการใช้ทรัพย์สินที่ตนมีเพื่อสร้างประโยชน์แก่สังคม มหาเศรษฐีในยุคนั้นจึงมีเข้าร่วมกิจกรรมการกุศล (philanthropy) ต่างๆ รวมถึงริเริ่มกิจกรรมการกุศลของตนเอง เช่น ร็อคกี้เฟลเลอร์ก่อตั้งมูลนิธิในชื่อ Rockefeller Foundation แวนเดอร์บิลท์ ที่บริจาคเงินเพื่อร่วมก่อตั้ง Vanderbilt University หรือ มอร์แกน บริจาคเงินและงานศิลปะที่เขาสะสมไว้แก่พิพิธภัณฑ์ต่างๆ เป็นต้น คาร์เนกีกล่าวว่า “ผู้ที่ตายรวยคือผู้ที่ตายน่าละอาย (man who dies thus rich dies disgraced)” เขาแจกจ่ายทรัพย์สินของเขาเพื่อกิจกรรมการกุศลไปมากถึง 350 ล้านดอลลาร์ ซึ่งถือว่าเยอะมาก ถึงแม้เมื่อเขาเสียชีวิตในปี 1919 ยังเหลือทรัพย์สินที่เขายังไม่ได้แจกจ่ายอีก 30 ล้านดอลลาร์1) (ซึ่งคิดเป็นมูลค่าราว 570 ล้านดอลลาร์ในทุกวันนี้) ก็ตาม

คำถามที่ยังทันสมัยมาจนถึงทุกวันนี้ก็คือ การยอมให้มหาเศรษฐีผู้มีความสามารถในการจัดการทรัพย์สินมากกว่าสามารถครอบครองทรัพย์สินก้อนมหึมาและนำไปใช้ได้ตามที่ตนต้องการ จากนั้นจึงปันคืนสู่สังคมเหมือนที่คาร์เนกีแนะนำมหาเศรษฐีในสมัย Gilded Age คือแนวทางการพัฒนาที่เหมาะสมจริงหรือ

ปฏิสัมพันธ์ระหว่างชนชั้นเป็นโครงเรื่องยอดนิยมสำหรับเรื่องสั้นของ โอ. เฮนรี ใน “The Assessor of Success” ตัวละครชื่อว่า Morley ซึ่งขณะนั้นไม่มีเงินสักแดงในกระเป๋าคิดว่า “หากผมคือคุณคาร์เนกีหรือคุณรอคกีเฟลเลอร์ ผมจะสละเงินไม่กี่ล้านและนัดหมายกับกรรมการสวนสาธารณะ... แล้วจัดการให้ม้านั่งทั่วทั้งโลกเตี้ยลงจนพอที่จะให้ผู้หญิงนั่งได้โดยวางเท้าไว้บนพื้นดิน” คำกล่าวนี้อาจจะหมายความว่าคนจนก็คาดหวังว่าคนรวยจะยื่นมือลงมาช่วยพวกตนและกิจกรรมการกุศลสามารถจรรโลงสังคมได้ แต่ปฏิสัมพันธ์ระหว่างคนรวยกับคนจนที่สร้างโครงเรื่องของเรื่องสั้นแต่ละเรื่องขึ้นมานั้นมีความหลากหลาย บางเรื่องคนรวยต้องการช่วยเหลือคนจน (เช่น “The Social Triangle”) บางเรื่องคนจนโกงคนรวย (เช่น Jeff Peters as a Personal Magnet) บางเรื่องคนจนปลอมเป็นคนรวย (เช่น “The Caliph and the Cad”) หรือใน “Brickdust Row” ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของบลิงค์เกอร์ทำให้คู่รักผู้ยากไร้ของเขาต้องอาศัยในตึกสับปะรังเค สุดท้ายสภาพความเป็นอยู่ย่ำแย่เป็นเหตุให้คู่รักจำต้องทิ้งเขาไปในที่สุด เขาอยากจะช่วยให้คู่รักของเขามีชีวิตที่ดีขึ้นเหลือเกิน แต่ทุกอย่างก็ “สายไปแล้ว”

โอ. เฮนรี ไม่ได้เขียนเรื่องสั้นเพื่อสนับสนุนอุดมการณ์ใดอุดมการณ์หนึ่งเป็นพิเศษ แต่เขาเขียนเรื่องจากการสังเกตปฏิสัมพันธ์ระหว่างปัจเจกบุคคลในสังคม ความหลากหลายของเรื่องราวระหว่างคนรวยกับคนจนในเรื่องสั้นของเขาชวนให้เราคิดว่า การที่คนรวยเอื้อเฟื้อต่อคนจนแล้วคนจนมีชีวิตที่ดีขึ้นอาจจะเป็นเพียงหนึ่งในความเป็นไปได้หลากหลายรูปแบบ แต่การพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนไม่ควรเผชิญกับความไม่แน่นอนทำนองนี้ไม่ใช่หรือ

1https://www.carnegie.org/interactives/foundersstory/#!/

เอกสารอ้างอิง

Carnegie, A. 1889. Wealth. North American Review, June, pp. 653-665.

Destler, C. M. 1946. Entrepreneurial Leadership among the “Robber Barons”: A Trial Balance. Journal of Economic History, 6, pp.28-49.

Piketty. T. 2014. Capital in the 21st Century. Cambridge, MA: Harvard University Press.

Rockoff, H. 2012. The Great Fortunes of the Gilded Age and the Crisis of 1893. Research in Economic History, 28, pp.233-262.

นภนต์ ภุมมา
อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์