สรุปเสวนาวิชาการ เรื่อง คณาธิปไตยในไทยและสหรัฐฯ : รัฐ ทุน ระบอบการเมือง

402 views

ในโลกการเมืองยุคปัจจุบัน คำว่า "คณาธิปไตย" (Oligarchy) ถูกนำมาใช้เพื่ออธิบายระบอบการปกครองที่ผู้มีทรัพย์สินมีอำนาจในการกำหนดนโยบายและความเป็นไปต่าง ๆ ทางการเมือง กลุ่มคนเหล่านี้เรียกว่า "คณาธิปัตย์" (Oligarch) คือ กลุ่มผู้มีทรัพย์สินมหาศาล มั่งคั่งร่ำรวย แม้ว่ากลุ่มคณาธิปัตย์จะมีอยู่เป็นเรื่องปกติในสังคม แต่ใช่ว่าทุกสังคมจะกลายเป็นคณาธิปไตยที่ถูกปกครองโดยกลุ่มบุคคลเหล่านี้

เพื่อนำเสนอมุมมองที่ลึกซึ้งถึงปรากฏการณ์ "คณาธิปไตย" เมื่ออำนาจทางเศรษฐกิจผูกขาดการตัดสินใจทางการเมือง ไทยและสหรัฐอเมริกามีเส้นทางที่คล้ายหรือต่างกันอย่างไร และอนาคตของเราจะถูกกำหนดโดยใคร คณะรัฐศาสตร์ จึงร่วมกับคณะเศรษฐศาสตร์ และสถาบันเอเชียตะวันออกศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดงานเสวนาวิชาการหัวข้อเรื่อง คณาธิปไตยในไทยและสหรัฐฯ : รัฐ ทุน ระบอบการเมือง เมื่อวันอังคารที่ 20 พฤษภาคม 2568 เวลา 13.30 - 15.30 น. ณ ห้อง ร.102 คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ โดยมีผู้ร่วมเสวนาคือ รศ.ดร.อภิชาต สถิตนิรามัย คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และคุณสฤณี อาชวานันทกุล นักวิชาการอิสระ การเสวนาครั้งนี้ดำเนินรายการโดย รศ.ดร.ประจักษ์ ก้องกีรติ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์

รศ.ดร.อภิชาต สถิตนิรามัย

รศ.ดร.อภิชาต เริ่มจากการกล่าวถึงเหตุผลว่าทำไมกระแสของประชานิยมฝ่ายขวาที่เกิดขึ้นทั้งในสหรัฐอเมริกาและทวีปยุโรปถึงรุนแรงขึ้นได้ขนาดนี้ และมีการตั้งข้อสังเกตว่าทรัมป์ชนะการเลือกตั้งในปี 2016 ซึ่งเป็นปีเดียวกับที่เกิดเหตุการณ์ Brexit คือ การถอนตัวออกจากสหภาพยุโรปของสหราชอาณาจักร โดยการอธิบายผ่านกราฟ Global inequality has declined: Growth incidence curve, 1988-2008 หรือเรียกกันสั้น ๆ ในหมู่นักเศรษฐศาสตร์ว่า Elephant curve กราฟนี้เป็นการเอาคนบนโลกทุกคนที่มีข้อมูลมาเรียงตามชั้นรายได้ เปอร์เซ็นไทล์ที่ 1 คือกลุ่มคนที่จนที่สุดของโลก ส่วนเปอร์เซ็นไทล์ที่ 100 คือ 1% บนสุดที่รวยที่สุดของโลก ซึ่งเมื่อดูจากรูปคือบริเวณงวงช้าง


Income growth rate คือ อัตราการเพิ่มขึ้นของรายได้ของแต่ละชนชั้นเทียบกัน จะเห็นว่า ชนชั้นที่จนที่สุด คิดเป็นประมาณ 60%-80% ของประชากรโลก มีอัตราการเติบโตของรายได้ที่ย่ำแย่ ในทางกลับกัน กลุ่ม 1% บนสุดของโลก กลับมีอัตราการเติบโตของรายได้พุ่งสูงถึง 70%-80% ที่น่าสนใจคือ รายได้ของกลุ่มคนชั้นล่าง ตั้งแต่ 10%-50% กลับเติบโตเร็วกว่ากลุ่มคน 80-90% ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นในประเทศอินเดีย จีน รวมถึงประเทศเกิดใหม่อื่น ๆ ที่ได้เข้าสู่กระแสโลกาภิวัตน์ตั้งแต่ทศวรรษ 1980 เป็นต้นมา การเคลื่อนย้ายทุนและสินค้าเปิดโอกาสให้ประเทศเหล่านี้เข้าร่วมองค์การการค้าโลก (WTO) ในช่วงทศวรรษ 1990 เป็นผลทำให้สามารถส่งออกสินค้าได้มากขึ้น แต่กลับส่งผลเสียต่อประเทศที่รายได้ไม่ค่อยเติบโตอย่างสหรัฐอเมริกาและยุโรป ประชากรชนชั้นล่าง โดยเฉพาะผู้ที่เคยทำงานในภาคอุตสาหกรรมได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการนำเข้าสินค้าจากจีนและประเทศอื่น ๆ

รศ.ดร.อภิชาต ยังได้กล่าวถึง 3 สิ่งที่มีพร้อมกันไม่ได้ (Trilemma) ได้แก่ 1) Hyper-Globalisation 2) Democratic Governance และ 3) National’s Self-Determination เช่น ในยุค Bretton Woods หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ภายใต้แกนนำของสหรัฐอเมริกา ได้มีการตกลง Bretton Woods Agreement คือก่อตั้งกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และธนาคารโลก (World Bank) รวมถึงมี Capital control คือ การจำกัดการเคลื่อนย้ายทุนระหว่างประเทศ เพราะถ้าไม่จำกัดจะมีการเก็งกำไรระหว่างประเทศมากเกินไป เมื่อดูจากรูปด้านล่างนี้ จะเห็นว่า Bretton Woods เลือกข้อ 2 กับ 3 คือ Democratic Governance และ National’s Self-Determination ตามลำดับ จากการจำกัดการเคลื่อนย้ายของทุน ทำให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลของรัฐในการตอบสนองของคนในประเทศ ในขณะที่โลกาภิวัตน์ ยึดข้อ 1 (Hyper-globalization) เป็นหลัก แล้วละทิ้งข้อ 2 กับ 3 เพราะไม่มีที่ทางในการออกนโยบาย (Policy space)


ตั้งแต่ปี 2016 เป็นต้นมา เราเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงฐานเสียงทางการเมือง ผู้มีการศึกษาที่เดิมเคยเลือกพรรค รีพับลิกัน (Republican) หันมาสนับสนุนพรรคเดโมแครต (Democrat) มากขึ้น ส่งผลให้ปัจจุบันพรรคเดโมแครตมีฐานเสียงหลักเป็นกลุ่มคนที่มีการศึกษาสูงและมีรายได้ที่เริ่มสูงขึ้น ในขณะที่กลุ่มคนรวยมากยังคงเลือกพรรค รีพับลิกันเช่นเดิม สถานการณ์นี้ชี้ให้เห็นว่า ทั้งสองพรรคในสหรัฐอเมริกาไม่ได้ตอบสนองความต้องการของกลุ่มคนที่มีการศึกษาต่ำกว่าปริญญาตรี และการเติบโตของเทคโนโลยีในยุคโลกาภิวัตน์ โดยเฉพาะระบบอัตโนมัติ (automation) และปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ให้รางวัลแก่ผู้ที่จบการศึกษาระดับวิทยาลัยขึ้นไป ในขณะเดียวกันก็ไปลดทอนคุณค่าของแรงงานที่ใช้กำลังกายเป็นหลัก (manual labour)

มีงานวิจัยที่สนับสนุนแนวคิดที่ว่า การขยายตัวของฝ่ายขวาประชานิยมเป็นผลมาจากการที่ระบบธรรมาภิบาลแบบประชาธิปไตยไม่สามารถทำหน้าที่ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ โดยมีสองสาเหตุหลัก คือ policy space ถูกกำหนดด้วยโลกาภิวัตน์ที่ทำให้พื้นที่ในการออกนโยบายที่เอื้อต่อคนในประเทศมีจำกัด และการเปลี่ยนแปลงฐานเสียงของพรรคการเมือง พรรคเดโมแครตที่เคยมีฐานเสียงคือคนมีรายได้น้อย กลับหันไปสนใจคนที่มีรายได้สูง คนที่มีรายได้น้อยจึงไม่มีตัวแทนทางการเมือง ด้วยเหตุนี้ ทรัมป์จึงสวมบทบาทเป็นคนนอก (Outsider) ที่เข้ามาเป็นตัวแทนของกลุ่มคนที่ถูกทอดทิ้ง ไม่ว่าจะเป็นคนที่มีการศึกษาน้อย รายได้ต่ำ หรือคนจน ซึ่งเป็นภาพสะท้อนว่าทำไมการเมืองแบบขวาจัดประชานิยมจึงขยายตัวอย่างรวดเร็วทั้งในยุโรปและอเมริกา

สำหรับความแตกต่างเรื่องคณาธิปไตยของไทยกับสหรัฐอเมริกา มีที่น่าสนใจหลายประการ ได้แก่

  1. ระดับประชานิยมและลักษณะของรัฐ

    ไทยมีความเป็นประชานิยมมากกว่า และรัฐไทยเป็นรัฐสมบัติส่วนตัว (Patrimonial state) ที่แยกไม่ออกระหว่างส่วนรวมกับส่วนตัว ซึ่งถูกควบคุมโดยกลุ่มคณาธิปไตย

  2. โครงสร้างลำดับชั้นทางสังคม

    ไทยมีลำดับชั้นทางสังคมที่ซับซ้อนกว่า โดยเฉพาะหลังเหตุการณ์ 14 ตุลา และพฤษภาทมิฬ ซึ่งนายทุนได้เข้ามาหนุนเสริมชนชั้นศักดินา ทำให้เกิดโครงสร้างสังคมที่สะท้อนถึงการรวมศูนย์อำนาจของกลุ่มคณาธิปัตย์ ในขณะที่สหรัฐอเมริกาไม่ได้มีลำดับชั้นทางสังคมที่ฝังรากลึกเท่านี้

  3. อุดมการณ์ทางเศรษฐกิจ

    คณาธิปัตย์ของไทยมีแนวทางที่ชัดเจนในเรื่องของ Libertarian ที่เน้นหลักการ Washington Consensus อันได้แก่ deregulation (ลดการควบคุม), privatization (แปรรูปรัฐวิสาหกิจ), และ liberalization (เปิดเสรี) ทำให้เกิดโลกาภิวัตน์ ซึ่งทำให้พื้นที่ของรัฐลดลงอย่างมาก

  4. ความเป็นอิสระของหน่วยงานกำกับดูแล

    หน่วยงานกำกับดูแลของรัฐ (regulatory body) ในสหรัฐอเมริกา ยังคงมีความเป็นอิสระ หรือยังดีกว่าหน่วยงานกำกับดูแลของไทย ซึ่งมักจะถูกกลุ่มทุนเข้ายึดกุมได้ง่ายกว่า

  5. ระยะเวลาและการเปลี่ยนแปลงของกลุ่มคณาธิปัตย์

    สหรัฐอเมริกาเป็นคณาธิปไตยมานานแล้ว ถึงแม้การกระจายรายได้จะเลวร้ายที่สุดในกลุ่ม OECD แต่ยังมีการเติบโตทางเศรษฐกิจอยู่บ้าง เหมือนกับของไทยที่การกระจายรายได้แย่เป็นลำดับต้น ๆ ในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา อย่างไรก็ตาม คณาธิปัตย์ของสหรัฐอเมริกายังมีการเปลี่ยนแปลงหน้าตาของกลุ่มทุนอยู่บ้าง ตรงข้ามกับคณาธิปัตย์ของไทย ที่แทบไม่เคยเปลี่ยนหน้าเลยนับตั้งแต่หลังสงครามโลก มีเพียงกลุ่มใหม่ ๆ เกิดขึ้นในบางภาคส่วน เช่น ภาคพลังงาน แสดงให้เห็นว่าคณาธิปัตย์ของไทยเข้าถึงอำนาจ และกำกับนโยบายรัฐได้หนาแน่นกว่า

ตอนนี้เราอยู่ในยุคจุดจบของโลกาภิวัตน์ ความเหลื่อมล้ำก็จะสูงแบบที่เราเห็นในปัจจุบัน ในระบบพรรคการเมืองของอเมริกากลายเป็นว่ากลุ่มผู้มีการศึกษาและร่ำรวยต่อสู้กับกลุ่มผู้มีการศึกษาน้อย รายได้และทรัพย์สินน้อย ซึ่งเป็นฐานเสียงของทรัมป์ เช่นเดียวกับกรณี Brexit ในอังกฤษ โดยพื้นที่ที่ประชากรมีฐานะดีและมีการศึกษาสูงมักจะสนับสนุนการอยู่กับสหภาพยุโรป ขณะที่พื้นที่ที่เคยเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมแต่ปัจจุบันเสื่อมโทรมกลับเลือกที่จะออกจากสหภาพยุโรป

คุณสฤณี อาชวานันทกุล

จากที่ รศ.ดร.อภิชาติ กล่าวว่าโลกาภิวัตน์ได้สิ้นสุดลงแล้ว และสหรัฐอเมริกากำลังเผชิญกับยุคแห่งความระส่ำระสายและความไม่มั่นใจในตนเองอย่างรุนแรง อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ยังคงเป็นจุดแข็งคือ ภาคเทคโนโลยี โดยมีผู้ประกอบการหลายสิบคนที่สร้าง Silicon Valley จนกลายเป็นกลุ่มคณาธิปัตย์ ผู้ครอบครองเทคโนโลยี (Tech Oligarchs) ที่มีอิทธิพลสูงมากและร่ำรวยในเวลาอันสั้น และสินค้าของพวกเขาถูกใช้ไปทั่วโลก

ทรัมป์มักพูดในทำนองชาตินิยมและยกย่องคนกลุ่มนี้ว่าเป็นวีรบุรุษกู้ชาติ ซึ่งแตกต่างจากแนวคิดก่อนหน้ายุค Trump 2.0 บริษัทเทคโนโลยีไม่ได้สนับสนุนการใช้เทคโนโลยีเพื่อสอดแนมประชาชน หรือการเก็บภาษีอย่างรุนแรง และผู้คนมักมองเทคโนโลยีในแง่ดีว่าจะเป็นเครื่องมือของโลกเสรีที่จะทลายการผูกขาดของสื่อหลัก และส่งเสริมการสื่อสารสองทาง ต่อมา ผู้คนเริ่มเห็นด้านมืดของเทคโนโลยี ตั้งแต่ยุคโอบามาเริ่มมีข่าวมาเปิดเผยว่าบางบริษัทไม่ได้รักษาความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ บางบริษัทถูกสอบสวนเรื่องการใช้อำนาจผูกขาด ทำให้คนเริ่มรู้สึกว่าเทคโนโลยีที่เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ ในฐานะผู้ใช้ก็ไม่ต้องเสียเงิน แต่ในความเป็นจริงแล้ว มันมีราคาที่ต้องจ่าย จึงเริ่มมีเสียงเรียกร้องให้มีการกำกับดูแลเพิ่มขึ้น เมื่อไบเดนขึ้นเป็นประธานาธิบดีก็มีการสอบสวนบริษัทเทคโนโลยีในข้อหาผูกขาดและนำข้อมูลผู้ใช้ไปใช้ประโยชน์ด้านอื่น ๆ ซึ่งทำให้บางคนไม่พอใจรัฐบาลเดโมแครตที่เข้ามายุ่งมากเกินไป ในขณะเดียวกัน ถ้าพูดถึงในแง่อุดมการณ์ มาร์ค แอนเดอสัน (Mark Anderson) เป็นบุคคลสำคัญมากในประวัติศาสตร์ Sillicon Valley เขาเชื่อว่าเทคโนโลยีทำให้โลกก้าวหน้าอย่างไร้ขีดจำกัด เพียงแต่เราต้องไม่กีดขวางความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี เขาไม่ชอบระบอบราชการ กฎระเบียบ แนวคิดเรื่องความยั่งยืน และกลไกที่จะปกป้องอำนาจต่อรองของแรงงาน สิ่งเหล่านี้แทบจะเหมือนกับสิ่งที่ทรัมป์ทำ

อีกคนที่มีอิทธิพลสูงมากคือปีเตอร์ ธีล (Peter Thiel) หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง Palantir บริษัทที่วิเคราะห์ข้อมูลภาครัฐและขายบริการให้รัฐ ปัจจุบัน Palantir ได้รับงานจากกระทรวงกลาโหมและหน่วยตรวจคนเข้าเมืองของสหรัฐอเมริกา เพื่อติดตามผู้อพยพเข้าเมืองแบบผิดกฎหมายแบบเรียลไทม์ คล้ายกับการสอดส่องประชาชนในประเทศจีน นอกจากนี้ เขากับเพื่อน ๆ มีแนวคิดที่จะสร้าง Freedom City คือการสร้างเมืองที่ปลอดจากอำนาจของรัฐบาลกลาง และแน่นอนว่าคริปโตที่ไม่อยู่ภายใต้การควบคุมของธนาคารกลางก็เป็นส่วนหนึ่งของแนวคิด Freedom City

สิ่งที่น่ากังวลที่สุดคือการที่กลุ่มคณาธิปัตย์ ผู้ครอบครองเทคโนโลยีเหล่านี้กำลังมีโอกาสเข้าถึงข้อมูลสำคัญของชาวอเมริกันจำนวนมาก เช่น ข้อมูลภาษีจากกรมสรรพากร และฐานข้อมูลประกันสังคม ซึ่งเป็นข้อมูลที่ละเอียดอ่อน ผู้คนเริ่มตั้งคำถามถึงความตั้งใจที่แท้จริงของการขอเข้าถึงข้อมูลเหล่านี้ เพราะมองว่าอาจเป็นการใช้ประโยชน์เพื่อธุรกิจของพวกเขาเอง ไม่ใช่แค่การเพิ่มประสิทธิภาพของรัฐบาลตามที่กล่าวอ้าง

นอกจากนี้ การที่รัฐบาลใช้แนวทางที่เสนอโดยอีลอน มัสก์ (Elon Musk) เรื่อง Department of Government Efficiency เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของรัฐ สิ่งที่เกิดขึ้นคือ รัฐบาลไล่ข้าราชการออกจำนวนมาก และผู้ที่ถูกไล่ออกจำนวนมากคือ เจ้าหน้าที่ที่ทำหน้าที่สืบสวนการกระทำผิดกฎหมายหรือการละเมิดทางการค้าของกลุ่มคณาธิปัตย์ ซึ่งทำให้คดีความหลายคดีถูกระงับหรือขาดผู้ดำเนินการ

ท้ายที่สุด คนอเมริกันที่เป็นชนชั้นกลางถึงล่างของสังคมรู้สึกว่าไม่มีทางเลือกอื่น เมื่อรัฐบาลเดโมแครตละเลยพวกเขา ทรัมป์จึงเหมือนเป็นฮีโร่ที่วิ่งเข้ามา แม้ว่าในความเป็นจริงแล้ว การกระทำของทรัมป์กลับทำให้เกิดความเดือดร้อนกับคนอเมริกัน โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้น้อย เพราะการที่ทรัมป์ได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มคณาธิปัตย์ ทำให้คนกลุ่มนี้ร่ำรวยขึ้นอย่างมหาศาลโดยไม่สนใจผู้อื่น

แม้ทรัมป์จะพยายามเอาใจกลุ่มคนฐานรากด้วยนโยบายที่อ้างว่าจะลดการขาดดุลและนำโรงงานกลับมาตั้งในอเมริกา แต่แผนการภาษีปี 2017 และ Trump 2.0 กลับแสดงให้เห็นว่าคนรวยได้รับประโยชน์จากการลดภาษีเยอะกว่าคนจน ในขณะที่คนจนกลับเสียประโยชน์ จากการลดสิทธิ์เข้าถึงประกันสุขภาพและโครงการช่วยเหลือด้านอาหาร สถานการณ์ปัจจุบันในอเมริกาตอนนี้กำลังเผชิญกับคณาธิปัตย์ที่ไม่ใช่เพียงแค่ร่ำรวยมหาศาล แต่ยังมีอิทธิพลเหนือข้อมูล และเป็นผู้นำด้านปัญญาประดิษฐ์

จากที่ รศ.ดร.ประจักษ์ ผู้ดำเนินรายการ ตั้งคำถามเรื่องการยึดรัฐ (State Capture) วิธีหนึ่งที่เราจะมองว่าอะไรถูกยึดกุมหรือว่าเป็นอิสระจากกันไหม คือดูความขัดแย้งว่าใครทะเลาะกัน เรื่องอะไร ความขัดแย้งที่น่าสนใจ เช่น อัยการสูงสุดของอเมริกาสั่งตำรวจไปจับศาล เพราะศาลมีคำสั่งคุ้มครองสิทธิ์ผู้อพยพ แล้วอัยการสูงสุดมองว่าเป็นการฝ่าฝืนการกระทำหน้าที่ของรัฐบาล รัฐบาลก็ทะเลาะกับศาล การทะเลาะกันนี้ทำให้เห็นว่ามีการคานอำนาจกันอยู่

อีกประเด็นคือ หน่วยงานกำกับดูแล ตั้งแต่ที่คณาธิปัตย์กลุ่มเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาท และรัฐบาลทรัมป์ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีแล้วไล่ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ออกมากมาย เป็นเรื่องที่โกลาหลมาก แต่ในแง่ดี มันทำให้เห็นว่า หน่วยงานกำกับดูแลจำนวนมาก เขาก็ทำหน้าที่ จนรัฐบาลต้องใช้อำนาจแบบโจ่งแจ้งถึงจะจัดการได้ แต่ในทางกลับกัน ไทยไม่เคยมีเหตุการณ์หรือใครก็ตามที่ขึ้นมาท้วงว่าการทำงานของพวกหน่วยงาน องค์กรอิสระต่าง ๆ ว่ามีปัญหา ต้องมีการสอบสวน ประชาชนก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำอะไร ดังนั้น ความโปร่งใสควรเป็นค่าเริ่มต้นของการดำรงตำแหน่งทางการเมือง

จากการเสวนาในครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่าเราอยู่ในยุคที่โลกาภิวัตน์สิ้นสุดลงแล้ว ซึ่งนำไปสู่ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและภูมิทัศน์การเมืองที่เปลี่ยนแปลงไป ระบอบทรัมป์ในสหรัฐอเมริกาสะท้อนการขึ้นมาของประชานิยมฝ่ายขวา ซึ่งมีรากฐานจากความไม่พอใจของชนชั้นล่างที่ถูกทอดทิ้งในยุคโลกาภิวัตน์ รวมถึงอิทธิพลของคณาธิปัตย์กลุ่มเทคโนโลยีที่กุมอำนาจทั้งด้านเทคโนโลยี ข้อมูล และการเมือง อย่างไรก็ตาม ความขัดแย้งภายในสถาบันของสหรัฐอเมริกายังมีการคานอำนาจระหว่างกัน ซึ่งต่างจากไทยที่ขาดกลไกการตรวจสอบที่เข้มแข็ง ทำให้คณาธิปไตยฝังรากลึกและยากต่อการเปลี่ยนแปลง

นันท์นรินทร์ แสงอาทิตย์
นักศึกษาคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้เชื่อว่าถึงโลกจะไม่แน่นอน แต่เศรษฐศาสตร์จำเป็นแน่นอนนะคะ