ในโลกการเมืองยุคปัจจุบัน คำว่า "คณาธิปไตย" (Oligarchy) ถูกนำมาใช้เพื่ออธิบายระบอบการปกครองที่ผู้มีทรัพย์สินมีอำนาจในการกำหนดนโยบายและความเป็นไปต่าง ๆ ทางการเมือง กลุ่มคนเหล่านี้เรียกว่า "คณาธิปัตย์" (Oligarch) คือ กลุ่มผู้มีทรัพย์สินมหาศาล มั่งคั่งร่ำรวย แม้ว่ากลุ่มคณาธิปัตย์จะมีอยู่เป็นเรื่องปกติในสังคม แต่ใช่ว่าทุกสังคมจะกลายเป็นคณาธิปไตยที่ถูกปกครองโดยกลุ่มบุคคลเหล่านี้
เพื่อนำเสนอมุมมองที่ลึกซึ้งถึงปรากฏการณ์ "คณาธิปไตย" เมื่ออำนาจทางเศรษฐกิจผูกขาดการตัดสินใจทางการเมือง ไทยและสหรัฐอเมริกามีเส้นทางที่คล้ายหรือต่างกันอย่างไร และอนาคตของเราจะถูกกำหนดโดยใคร คณะรัฐศาสตร์ จึงร่วมกับคณะเศรษฐศาสตร์ และสถาบันเอเชียตะวันออกศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดงานเสวนาวิชาการหัวข้อเรื่อง คณาธิปไตยในไทยและสหรัฐฯ : รัฐ ทุน ระบอบการเมือง เมื่อวันอังคารที่ 20 พฤษภาคม 2568 เวลา 13.30 - 15.30 น. ณ ห้อง ร.102 คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ โดยมีผู้ร่วมเสวนาคือ รศ.ดร.อภิชาต สถิตนิรามัย คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และคุณสฤณี อาชวานันทกุล นักวิชาการอิสระ การเสวนาครั้งนี้ดำเนินรายการโดย รศ.ดร.ประจักษ์ ก้องกีรติ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์
รศ.ดร.อภิชาต สถิตนิรามัย
รศ.ดร.อภิชาต เริ่มจากการกล่าวถึงเหตุผลว่าทำไมกระแสของประชานิยมฝ่ายขวาที่เกิดขึ้นทั้งในสหรัฐอเมริกาและทวีปยุโรปถึงรุนแรงขึ้นได้ขนาดนี้ และมีการตั้งข้อสังเกตว่าทรัมป์ชนะการเลือกตั้งในปี 2016 ซึ่งเป็นปีเดียวกับที่เกิดเหตุการณ์ Brexit คือ การถอนตัวออกจากสหภาพยุโรปของสหราชอาณาจักร โดยการอธิบายผ่านกราฟ Global inequality has declined: Growth incidence curve, 1988-2008 หรือเรียกกันสั้น ๆ ในหมู่นักเศรษฐศาสตร์ว่า Elephant curve กราฟนี้เป็นการเอาคนบนโลกทุกคนที่มีข้อมูลมาเรียงตามชั้นรายได้ เปอร์เซ็นไทล์ที่ 1 คือกลุ่มคนที่จนที่สุดของโลก ส่วนเปอร์เซ็นไทล์ที่ 100 คือ 1% บนสุดที่รวยที่สุดของโลก ซึ่งเมื่อดูจากรูปคือบริเวณงวงช้าง
Income growth rate คือ อัตราการเพิ่มขึ้นของรายได้ของแต่ละชนชั้นเทียบกัน จะเห็นว่า ชนชั้นที่จนที่สุด คิดเป็นประมาณ 60%-80% ของประชากรโลก มีอัตราการเติบโตของรายได้ที่ย่ำแย่ ในทางกลับกัน กลุ่ม 1% บนสุดของโลก กลับมีอัตราการเติบโตของรายได้พุ่งสูงถึง 70%-80% ที่น่าสนใจคือ รายได้ของกลุ่มคนชั้นล่าง ตั้งแต่ 10%-50% กลับเติบโตเร็วกว่ากลุ่มคน 80-90% ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นในประเทศอินเดีย จีน รวมถึงประเทศเกิดใหม่อื่น ๆ ที่ได้เข้าสู่กระแสโลกาภิวัตน์ตั้งแต่ทศวรรษ 1980 เป็นต้นมา การเคลื่อนย้ายทุนและสินค้าเปิดโอกาสให้ประเทศเหล่านี้เข้าร่วมองค์การการค้าโลก (WTO) ในช่วงทศวรรษ 1990 เป็นผลทำให้สามารถส่งออกสินค้าได้มากขึ้น แต่กลับส่งผลเสียต่อประเทศที่รายได้ไม่ค่อยเติบโตอย่างสหรัฐอเมริกาและยุโรป ประชากรชนชั้นล่าง โดยเฉพาะผู้ที่เคยทำงานในภาคอุตสาหกรรมได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการนำเข้าสินค้าจากจีนและประเทศอื่น ๆ
รศ.ดร.อภิชาต ยังได้กล่าวถึง 3 สิ่งที่มีพร้อมกันไม่ได้ (Trilemma) ได้แก่ 1) Hyper-Globalisation 2) Democratic Governance และ 3) National’s Self-Determination เช่น ในยุค Bretton Woods หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ภายใต้แกนนำของสหรัฐอเมริกา ได้มีการตกลง Bretton Woods Agreement คือก่อตั้งกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และธนาคารโลก (World Bank) รวมถึงมี Capital control คือ การจำกัดการเคลื่อนย้ายทุนระหว่างประเทศ เพราะถ้าไม่จำกัดจะมีการเก็งกำไรระหว่างประเทศมากเกินไป เมื่อดูจากรูปด้านล่างนี้ จะเห็นว่า Bretton Woods เลือกข้อ 2 กับ 3 คือ Democratic Governance และ National’s Self-Determination ตามลำดับ จากการจำกัดการเคลื่อนย้ายของทุน ทำให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลของรัฐในการตอบสนองของคนในประเทศ ในขณะที่โลกาภิวัตน์ ยึดข้อ 1 (Hyper-globalization) เป็นหลัก แล้วละทิ้งข้อ 2 กับ 3 เพราะไม่มีที่ทางในการออกนโยบาย (Policy space)
ตั้งแต่ปี 2016 เป็นต้นมา เราเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงฐานเสียงทางการเมือง ผู้มีการศึกษาที่เดิมเคยเลือกพรรค รีพับลิกัน (Republican) หันมาสนับสนุนพรรคเดโมแครต (Democrat) มากขึ้น ส่งผลให้ปัจจุบันพรรคเดโมแครตมีฐานเสียงหลักเป็นกลุ่มคนที่มีการศึกษาสูงและมีรายได้ที่เริ่มสูงขึ้น ในขณะที่กลุ่มคนรวยมากยังคงเลือกพรรค รีพับลิกันเช่นเดิม สถานการณ์นี้ชี้ให้เห็นว่า ทั้งสองพรรคในสหรัฐอเมริกาไม่ได้ตอบสนองความต้องการของกลุ่มคนที่มีการศึกษาต่ำกว่าปริญญาตรี และการเติบโตของเทคโนโลยีในยุคโลกาภิวัตน์ โดยเฉพาะระบบอัตโนมัติ (automation) และปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ให้รางวัลแก่ผู้ที่จบการศึกษาระดับวิทยาลัยขึ้นไป ในขณะเดียวกันก็ไปลดทอนคุณค่าของแรงงานที่ใช้กำลังกายเป็นหลัก (manual labour)
มีงานวิจัยที่สนับสนุนแนวคิดที่ว่า การขยายตัวของฝ่ายขวาประชานิยมเป็นผลมาจากการที่ระบบธรรมาภิบาลแบบประชาธิปไตยไม่สามารถทำหน้าที่ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ โดยมีสองสาเหตุหลัก คือ policy space ถูกกำหนดด้วยโลกาภิวัตน์ที่ทำให้พื้นที่ในการออกนโยบายที่เอื้อต่อคนในประเทศมีจำกัด และการเปลี่ยนแปลงฐานเสียงของพรรคการเมือง พรรคเดโมแครตที่เคยมีฐานเสียงคือคนมีรายได้น้อย กลับหันไปสนใจคนที่มีรายได้สูง คนที่มีรายได้น้อยจึงไม่มีตัวแทนทางการเมือง ด้วยเหตุนี้ ทรัมป์จึงสวมบทบาทเป็นคนนอก (Outsider) ที่เข้ามาเป็นตัวแทนของกลุ่มคนที่ถูกทอดทิ้ง ไม่ว่าจะเป็นคนที่มีการศึกษาน้อย รายได้ต่ำ หรือคนจน ซึ่งเป็นภาพสะท้อนว่าทำไมการเมืองแบบขวาจัดประชานิยมจึงขยายตัวอย่างรวดเร็วทั้งในยุโรปและอเมริกา
สำหรับความแตกต่างเรื่องคณาธิปไตยของไทยกับสหรัฐอเมริกา มีที่น่าสนใจหลายประการ ได้แก่
ไทยมีความเป็นประชานิยมมากกว่า และรัฐไทยเป็นรัฐสมบัติส่วนตัว (Patrimonial state) ที่แยกไม่ออกระหว่างส่วนรวมกับส่วนตัว ซึ่งถูกควบคุมโดยกลุ่มคณาธิปไตย
ไทยมีลำดับชั้นทางสังคมที่ซับซ้อนกว่า โดยเฉพาะหลังเหตุการณ์ 14 ตุลา และพฤษภาทมิฬ ซึ่งนายทุนได้เข้ามาหนุนเสริมชนชั้นศักดินา ทำให้เกิดโครงสร้างสังคมที่สะท้อนถึงการรวมศูนย์อำนาจของกลุ่มคณาธิปัตย์ ในขณะที่สหรัฐอเมริกาไม่ได้มีลำดับชั้นทางสังคมที่ฝังรากลึกเท่านี้
คณาธิปัตย์ของไทยมีแนวทางที่ชัดเจนในเรื่องของ Libertarian ที่เน้นหลักการ Washington Consensus อันได้แก่ deregulation (ลดการควบคุม), privatization (แปรรูปรัฐวิสาหกิจ), และ liberalization (เปิดเสรี) ทำให้เกิดโลกาภิวัตน์ ซึ่งทำให้พื้นที่ของรัฐลดลงอย่างมาก
หน่วยงานกำกับดูแลของรัฐ (regulatory body) ในสหรัฐอเมริกา ยังคงมีความเป็นอิสระ หรือยังดีกว่าหน่วยงานกำกับดูแลของไทย ซึ่งมักจะถูกกลุ่มทุนเข้ายึดกุมได้ง่ายกว่า
สหรัฐอเมริกาเป็นคณาธิปไตยมานานแล้ว ถึงแม้การกระจายรายได้จะเลวร้ายที่สุดในกลุ่ม OECD แต่ยังมีการเติบโตทางเศรษฐกิจอยู่บ้าง เหมือนกับของไทยที่การกระจายรายได้แย่เป็นลำดับต้น ๆ ในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา อย่างไรก็ตาม คณาธิปัตย์ของสหรัฐอเมริกายังมีการเปลี่ยนแปลงหน้าตาของกลุ่มทุนอยู่บ้าง ตรงข้ามกับคณาธิปัตย์ของไทย ที่แทบไม่เคยเปลี่ยนหน้าเลยนับตั้งแต่หลังสงครามโลก มีเพียงกลุ่มใหม่ ๆ เกิดขึ้นในบางภาคส่วน เช่น ภาคพลังงาน แสดงให้เห็นว่าคณาธิปัตย์ของไทยเข้าถึงอำนาจ และกำกับนโยบายรัฐได้หนาแน่นกว่า
ตอนนี้เราอยู่ในยุคจุดจบของโลกาภิวัตน์ ความเหลื่อมล้ำก็จะสูงแบบที่เราเห็นในปัจจุบัน ในระบบพรรคการเมืองของอเมริกากลายเป็นว่ากลุ่มผู้มีการศึกษาและร่ำรวยต่อสู้กับกลุ่มผู้มีการศึกษาน้อย รายได้และทรัพย์สินน้อย ซึ่งเป็นฐานเสียงของทรัมป์ เช่นเดียวกับกรณี Brexit ในอังกฤษ โดยพื้นที่ที่ประชากรมีฐานะดีและมีการศึกษาสูงมักจะสนับสนุนการอยู่กับสหภาพยุโรป ขณะที่พื้นที่ที่เคยเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมแต่ปัจจุบันเสื่อมโทรมกลับเลือกที่จะออกจากสหภาพยุโรป
คุณสฤณี อาชวานันทกุล
จากที่ รศ.ดร.อภิชาติ กล่าวว่าโลกาภิวัตน์ได้สิ้นสุดลงแล้ว และสหรัฐอเมริกากำลังเผชิญกับยุคแห่งความระส่ำระสายและความไม่มั่นใจในตนเองอย่างรุนแรง อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ยังคงเป็นจุดแข็งคือ ภาคเทคโนโลยี โดยมีผู้ประกอบการหลายสิบคนที่สร้าง Silicon Valley จนกลายเป็นกลุ่มคณาธิปัตย์ ผู้ครอบครองเทคโนโลยี (Tech Oligarchs) ที่มีอิทธิพลสูงมากและร่ำรวยในเวลาอันสั้น และสินค้าของพวกเขาถูกใช้ไปทั่วโลก
ทรัมป์มักพูดในทำนองชาตินิยมและยกย่องคนกลุ่มนี้ว่าเป็นวีรบุรุษกู้ชาติ ซึ่งแตกต่างจากแนวคิดก่อนหน้ายุค Trump 2.0 บริษัทเทคโนโลยีไม่ได้สนับสนุนการใช้เทคโนโลยีเพื่อสอดแนมประชาชน หรือการเก็บภาษีอย่างรุนแรง และผู้คนมักมองเทคโนโลยีในแง่ดีว่าจะเป็นเครื่องมือของโลกเสรีที่จะทลายการผูกขาดของสื่อหลัก และส่งเสริมการสื่อสารสองทาง ต่อมา ผู้คนเริ่มเห็นด้านมืดของเทคโนโลยี ตั้งแต่ยุคโอบามาเริ่มมีข่าวมาเปิดเผยว่าบางบริษัทไม่ได้รักษาความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ บางบริษัทถูกสอบสวนเรื่องการใช้อำนาจผูกขาด ทำให้คนเริ่มรู้สึกว่าเทคโนโลยีที่เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ ในฐานะผู้ใช้ก็ไม่ต้องเสียเงิน แต่ในความเป็นจริงแล้ว มันมีราคาที่ต้องจ่าย จึงเริ่มมีเสียงเรียกร้องให้มีการกำกับดูแลเพิ่มขึ้น เมื่อไบเดนขึ้นเป็นประธานาธิบดีก็มีการสอบสวนบริษัทเทคโนโลยีในข้อหาผูกขาดและนำข้อมูลผู้ใช้ไปใช้ประโยชน์ด้านอื่น ๆ ซึ่งทำให้บางคนไม่พอใจรัฐบาลเดโมแครตที่เข้ามายุ่งมากเกินไป ในขณะเดียวกัน ถ้าพูดถึงในแง่อุดมการณ์ มาร์ค แอนเดอสัน (Mark Anderson) เป็นบุคคลสำคัญมากในประวัติศาสตร์ Sillicon Valley เขาเชื่อว่าเทคโนโลยีทำให้โลกก้าวหน้าอย่างไร้ขีดจำกัด เพียงแต่เราต้องไม่กีดขวางความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี เขาไม่ชอบระบอบราชการ กฎระเบียบ แนวคิดเรื่องความยั่งยืน และกลไกที่จะปกป้องอำนาจต่อรองของแรงงาน สิ่งเหล่านี้แทบจะเหมือนกับสิ่งที่ทรัมป์ทำ
อีกคนที่มีอิทธิพลสูงมากคือปีเตอร์ ธีล (Peter Thiel) หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง Palantir บริษัทที่วิเคราะห์ข้อมูลภาครัฐและขายบริการให้รัฐ ปัจจุบัน Palantir ได้รับงานจากกระทรวงกลาโหมและหน่วยตรวจคนเข้าเมืองของสหรัฐอเมริกา เพื่อติดตามผู้อพยพเข้าเมืองแบบผิดกฎหมายแบบเรียลไทม์ คล้ายกับการสอดส่องประชาชนในประเทศจีน นอกจากนี้ เขากับเพื่อน ๆ มีแนวคิดที่จะสร้าง Freedom City คือการสร้างเมืองที่ปลอดจากอำนาจของรัฐบาลกลาง และแน่นอนว่าคริปโตที่ไม่อยู่ภายใต้การควบคุมของธนาคารกลางก็เป็นส่วนหนึ่งของแนวคิด Freedom City
สิ่งที่น่ากังวลที่สุดคือการที่กลุ่มคณาธิปัตย์ ผู้ครอบครองเทคโนโลยีเหล่านี้กำลังมีโอกาสเข้าถึงข้อมูลสำคัญของชาวอเมริกันจำนวนมาก เช่น ข้อมูลภาษีจากกรมสรรพากร และฐานข้อมูลประกันสังคม ซึ่งเป็นข้อมูลที่ละเอียดอ่อน ผู้คนเริ่มตั้งคำถามถึงความตั้งใจที่แท้จริงของการขอเข้าถึงข้อมูลเหล่านี้ เพราะมองว่าอาจเป็นการใช้ประโยชน์เพื่อธุรกิจของพวกเขาเอง ไม่ใช่แค่การเพิ่มประสิทธิภาพของรัฐบาลตามที่กล่าวอ้าง
นอกจากนี้ การที่รัฐบาลใช้แนวทางที่เสนอโดยอีลอน มัสก์ (Elon Musk) เรื่อง Department of Government Efficiency เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของรัฐ สิ่งที่เกิดขึ้นคือ รัฐบาลไล่ข้าราชการออกจำนวนมาก และผู้ที่ถูกไล่ออกจำนวนมากคือ เจ้าหน้าที่ที่ทำหน้าที่สืบสวนการกระทำผิดกฎหมายหรือการละเมิดทางการค้าของกลุ่มคณาธิปัตย์ ซึ่งทำให้คดีความหลายคดีถูกระงับหรือขาดผู้ดำเนินการ
ท้ายที่สุด คนอเมริกันที่เป็นชนชั้นกลางถึงล่างของสังคมรู้สึกว่าไม่มีทางเลือกอื่น เมื่อรัฐบาลเดโมแครตละเลยพวกเขา ทรัมป์จึงเหมือนเป็นฮีโร่ที่วิ่งเข้ามา แม้ว่าในความเป็นจริงแล้ว การกระทำของทรัมป์กลับทำให้เกิดความเดือดร้อนกับคนอเมริกัน โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้น้อย เพราะการที่ทรัมป์ได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มคณาธิปัตย์ ทำให้คนกลุ่มนี้ร่ำรวยขึ้นอย่างมหาศาลโดยไม่สนใจผู้อื่น
แม้ทรัมป์จะพยายามเอาใจกลุ่มคนฐานรากด้วยนโยบายที่อ้างว่าจะลดการขาดดุลและนำโรงงานกลับมาตั้งในอเมริกา แต่แผนการภาษีปี 2017 และ Trump 2.0 กลับแสดงให้เห็นว่าคนรวยได้รับประโยชน์จากการลดภาษีเยอะกว่าคนจน ในขณะที่คนจนกลับเสียประโยชน์ จากการลดสิทธิ์เข้าถึงประกันสุขภาพและโครงการช่วยเหลือด้านอาหาร สถานการณ์ปัจจุบันในอเมริกาตอนนี้กำลังเผชิญกับคณาธิปัตย์ที่ไม่ใช่เพียงแค่ร่ำรวยมหาศาล แต่ยังมีอิทธิพลเหนือข้อมูล และเป็นผู้นำด้านปัญญาประดิษฐ์
จากที่ รศ.ดร.ประจักษ์ ผู้ดำเนินรายการ ตั้งคำถามเรื่องการยึดรัฐ (State Capture) วิธีหนึ่งที่เราจะมองว่าอะไรถูกยึดกุมหรือว่าเป็นอิสระจากกันไหม คือดูความขัดแย้งว่าใครทะเลาะกัน เรื่องอะไร ความขัดแย้งที่น่าสนใจ เช่น อัยการสูงสุดของอเมริกาสั่งตำรวจไปจับศาล เพราะศาลมีคำสั่งคุ้มครองสิทธิ์ผู้อพยพ แล้วอัยการสูงสุดมองว่าเป็นการฝ่าฝืนการกระทำหน้าที่ของรัฐบาล รัฐบาลก็ทะเลาะกับศาล การทะเลาะกันนี้ทำให้เห็นว่ามีการคานอำนาจกันอยู่
อีกประเด็นคือ หน่วยงานกำกับดูแล ตั้งแต่ที่คณาธิปัตย์กลุ่มเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาท และรัฐบาลทรัมป์ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีแล้วไล่ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ออกมากมาย เป็นเรื่องที่โกลาหลมาก แต่ในแง่ดี มันทำให้เห็นว่า หน่วยงานกำกับดูแลจำนวนมาก เขาก็ทำหน้าที่ จนรัฐบาลต้องใช้อำนาจแบบโจ่งแจ้งถึงจะจัดการได้ แต่ในทางกลับกัน ไทยไม่เคยมีเหตุการณ์หรือใครก็ตามที่ขึ้นมาท้วงว่าการทำงานของพวกหน่วยงาน องค์กรอิสระต่าง ๆ ว่ามีปัญหา ต้องมีการสอบสวน ประชาชนก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำอะไร ดังนั้น ความโปร่งใสควรเป็นค่าเริ่มต้นของการดำรงตำแหน่งทางการเมือง
จากการเสวนาในครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่าเราอยู่ในยุคที่โลกาภิวัตน์สิ้นสุดลงแล้ว ซึ่งนำไปสู่ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและภูมิทัศน์การเมืองที่เปลี่ยนแปลงไป ระบอบทรัมป์ในสหรัฐอเมริกาสะท้อนการขึ้นมาของประชานิยมฝ่ายขวา ซึ่งมีรากฐานจากความไม่พอใจของชนชั้นล่างที่ถูกทอดทิ้งในยุคโลกาภิวัตน์ รวมถึงอิทธิพลของคณาธิปัตย์กลุ่มเทคโนโลยีที่กุมอำนาจทั้งด้านเทคโนโลยี ข้อมูล และการเมือง อย่างไรก็ตาม ความขัดแย้งภายในสถาบันของสหรัฐอเมริกายังมีการคานอำนาจระหว่างกัน ซึ่งต่างจากไทยที่ขาดกลไกการตรวจสอบที่เข้มแข็ง ทำให้คณาธิปไตยฝังรากลึกและยากต่อการเปลี่ยนแปลง