ทำไมชาติล้มเหลว : บทปริทัศน์หนังสือ Why Nations Fail1

26 พฤษภาคม 2568
2251 views

สำนักพิมพ์ Crown Business ได้ตีพิมพ์หนังสือที่น่าสนใจยิ่ง ชื่อ Why Nations Fail: The Origins of Power, Prosperity, and Poverty เมื่อ ค.ศ. 2012 (พ.ศ. 2555) หนังสือเล่มนี้เขียนโดยนายแดรอน อาเซโมกลู (Daron Acemoglu) นักเศรษฐศาสตร์ที่สถาบันเทคโนโลยีแห่งแมสซาชูเซตส์ (Massachusetts Institute of Technology หรือ MIT) และนายเจมส์ เอ โรบินสัน (James A. Robinson) นักรัฐศาสตร์และนักเศรษฐศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด (Harvard University) ชึ่งต่อมาเขาได้ย้ายไปที่มหาวิทยาลัยชิคาโก (University of Chicago)

นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบลหลายท่านได้กล่าวชื่นชมหนังสือเล่มนี้ ตัวอย่างเช่น นายเคนเนธ แอร์โรว์ (Kenneth Arrow) ผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ในปี ค.ศ. 1972 และนายแกรี่ เบ็คเกอร์ (Gary Becker) ผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ในปี ค.ศ. 1992 ผู้เขียนขอยกคำกล่าวชื่นชมหนังสือเล่มนี้ของทั้งสองท่านมาดังนี้

นายแอร์โรว์ กล่าวว่า “อาเซโมกลูและโรบินสันได้สร้างคุณูปการที่สำคัญต่อการถกเถียงว่า ทำไมชาติที่ดูเหมือนมีอะไรคล้ายกัน กลับมีความแตกต่างกันอย่างมากในการพัฒนาทางเศรษฐกิจและทางการเมือง จากการพิจารณาตัวอย่างมากมายหลากหลายประเทศในประวัติศาสตร์ เขาชี้ให้เห็นว่า การพัฒนาเชิงสถาบันซึ่งบางครั้งเกิดขึ้นโดยบังเอิญ ส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวง และพบว่าปัจจัยที่ชี้ขาดการพัฒนาเศรษฐกิจ คือ สังคมเปิด ความเต็มใจในการยอมรับการทำลายอย่างสร้างสรรค์ และหลักนิติธรรม”2

นายเบ็คเกอร์ กล่าวว่า “ผู้เขียน [อาเซโมกลูและโรบินสัน] ชี้ให้เห็นอย่างน่าเชื่อถือว่า ประเทศสามารถหลุดพ้นจากความยากจนได้ต่อเมื่อมีสถาบันเศรษฐกิจที่เหมาะสม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องทรัพย์สินส่วนบุคคลและการแข่งขัน พวกเขาอภิปรายว่ามีความเป็นไปได้มากกว่าสำหรับประเทศที่จะพัฒนาสถาบันที่ถูกต้อง เมื่อประเทศนั้นมีระบบการเมืองแบบพหุนิยมที่เปิดกว้าง มีการแข่งขันในการเข้าสู่ตำแหน่งทางการเมือง ประชาชนมีสิทธิในการเลือกตั้ง และมีการเปิดกว้างสำหรับผู้นำทางการเมืองคนใหม่ ความสัมพันธ์อันใกล้ชิดระหว่างสถาบันการเมืองกับสถาบันเศรษฐกิจเป็นหัวใจสำคัญของผลงานนี้ และเป็นการศึกษาที่มีชีวิตชีวาเกี่ยวกับคำถามสำคัญในทางเศรษฐศาสตร์และเศรษฐศาสตร์การเมือง”3

หนังสือเล่มนี้มีความยาวทั้งหมด 529 หน้า (รวมดรรชนีท้ายเล่ม) และมีทั้งหมด 15 บท แต่เนื่องจากแต่ละบทมีเนื้อหาและข้อมูลเชิงประวัติศาสตร์มาก หากสรุปมาทั้งหมดจะทำให้บทปริทัศน์นี้มีความยาวเกินไป ผู้เขียนจึงกลั่นกรองเอาแต่ใจความหลักตามความเข้าใจของผู้เขียนมานำเสนอดังต่อไปนี้

ความหมายของสถาบัน

เราจะเห็นว่า นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบลทั้งสองท่านที่กล่าวมาข้างต้น ต่างก็ชื่นชมที่นายแดรอน อาเซโมกลู และนายเจมส์ เอ. โรบินสัน นำเอาเรื่องสถาบันเศรษฐกิจและสถาบันการเมืองมาวิเคราะห์ว่า ทำไมบางประเทศประสบความสำเร็จในการพัฒนา มีความรุ่งเรือง และแก้ไขปัญหาความยากจนได้ แต่บางประเทศกลับล้มเหลว คำว่า สถาบัน มิได้หมายถึงองค์กรหรือหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง แต่หมายความรวมถึงชุดของกฎระเบียบทั้งที่เป็นทางการ (formal rules) และไม่เป็นทางการ (informal rules) และกลไกทางสังคมที่บังคับหรือกดดันให้ผู้คนในสังคมปฏิบัติตาม ซึ่งนายอาเซโมกลูและนายโรบินสันแบ่งสถาบันออกเป็นสองกลุ่มใหญ่ คือ สถาบันเศรษฐกิจ และสถาบันการเมือง

สถาบันเศรษฐกิจ (economic institutions) หมายถึงโครงสร้างและบรรทัดฐานเกี่ยวกับการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นกฎระเบียบ แรงจูงใจ หรือข้อจำกัด และเป็นแนวทางให้บุคคลหรือนิติบุคคลทำการผลิต ค้าขาย บริโภค ฯลฯ ซึ่งทำให้คนในสังคมมีมาตรฐานความเป็นอยู่ที่ดี ระบบเศรษฐกิจแบบตลาด (market economy) ที่ดำรงอยู่ในประเทศส่วนใหญ่มีสถาบันที่สำคัญอย่างน้อย 5 ประการ คือ (1) ความเป็นเจ้าของหรือทรัพย์สินส่วนบุคคล (private property) (2) ตลาดเสรี (free market) (3) การแข่งขัน (competition) (4) การแบ่งงานของแรงงาน (division of labor) และ (5) ความร่วมมือทางสังคม (social cooperation)

สถาบันการเมือง (political institutions) หมายถึง โครงสร้างและบรรทัดฐานเกี่ยวกับการกระทำทางการเมือง ระเบียบกฎเกณฑ์ และกระบวนการต่าง ๆ ในการเข้าสู่อำนาจและการใช้อำนาจ เช่น อำนาจในการบริหาร (executive power) อำนาจในการตรากฎหมาย (legislative power) และอำนาจตุลาการ (judicial power) รวมถึงระบบการตรวจสอบ และถ่วงดุลอำนาจการบริหาร ซึ่งเป็นอำนาจในการสั่งการ และจัดสรรทรัพยากรของประเทศ และอำนาจในการบังคับใช้กฎหมาย จึงควรมีการตรวจสอบถ่วงดุล

ตัวอย่างจากประวัติศาสตร์

ผู้เขียนทั้งสองเริ่มต้นบทแรกของหนังสือ ด้วยการกล่าวถึงความแตกต่างในฐานะความเป็นอยู่ของประชากรในเมือง Nogales ซึ่งถูกแบ่งออกเป็น 2 เขต ด้านเหนืออยู่ภายในประเทศสหรัฐอเมริกา รัฐ Arizona ด้านใต้ของเมือง Nogales อยู่ในประเทศเม็กซิโก รัฐ Sonora ชื่อ Nogales เป็นภาษาสเปน หมายถึง วอลนัท (walnut) เมืองนี้อุดมสมบูรณ์ไปด้วยต้นวอลนัททั้งในฝั่งสหรัฐอเมริกาและฝั่งเม็กซิโก ประชากรของเมืองนี้มีเชื้อชาติและวัฒนธรรมเดียวกันก่อนจะแยกออกเป็นสองฝ่าย จากสงครามระหว่างสหรัฐอเมริกาและเม็กซิโก ในปี ค.ศ. 1918 และเป็นเมืองแรกที่มีการสร้างรั้วกั้นเขตแดนระหว่างประเทศทั้งสอง

ปัจจุบันประชากรของเมือง Nogales ฝั่งใต้ในเม็กชิโกมีรายได้เฉลี่ยเพียงประมาณหนึ่งในสามของประชากรฝั่งเหนือในสหรัฐอเมริกา คนส่วนใหญ่มีการศึกษาต่ำกว่าระดับชั้นมัธยม มีอัตราการตายของทารกสูง อายุขัยเฉลี่ยของประชากรต่ำกว่าของฝั่งเหนือ ระบบสาธารณูปโภคและโครงสร้างพื้นฐานอยู่ในสภาพย่ำแย่ อัตราอาชญากรรมสูง โดยสรุปคือ ชาวเมือง Nogales ในฝั่งใต้มีคุณภาพชีวิตที่แย่กว่าชาวเมือง Nogales ในฝั่งเหนือมาก ทั้งสองฝั่งของเมืองไม่มีความแตกต่างด้านภูมิประเทศ ทรัพยากรธรรมชาติ ภูมิอากาศ ทำไมจึงมีความแตกต่างด้านฐานะทางเศรษฐกิจ และคุณภาพชีวิตเป็นอย่างมาก ผู้เขียนทั้งสองเสนอคำอธิบายว่า เป็นเพราะประชากรในฝั่งเหนือของเมืองได้รับประโยชน์จากสถาบันเศรษฐกิจและสถาบันการเมืองของประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งทำให้คนเหล่านั้นได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพ สามารถสร้างเสริมทักษะ มีเสรีภาพในการประกอบอาชีพ และมีนายจ้างที่ลงทุนในเทคโนโลยีที่ดีที่สุด ทำให้แรงงานได้รับค่าจ้างสูงขึ้น นอกจากนี้ยังอยู่ภายใต้สถาบันการเมืองที่เอื้อต่อการให้ประชาชนสามารถเลือกผู้แทนผ่านกระบวนการประชาธิปไตย เมื่อผู้แทนเหล่านี้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองก็ได้จัดหาบริการสาธารณะพื้นฐานด้านต่าง ๆ ตามที่ประชาชนต้องการ มิฉะนั้นแล้วอาจไม่ได้กลับมาดำรงตำแหน่งอีกในการเลือกตั้งครั้งถัดไป

ตัวอย่างอีกแห่งหนึ่งที่มีสภาพคล้ายเมือง Nogales คือประเทศเกาหลีเหนือ และประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งแต่เดิมเป็นประเทศเกาหลีประเทศเดียวในคาบสมุทรเกาหลี (Korean Peninsula) ประชากรมีภาษาและวัฒนธรรมเดียวกัน มาตรฐานความเป็นอยู่ไม่แตกต่างกัน ประเทศเกาหลีตกเป็นอาณานิคมของประเทศญี่ปุ่นตั้งแต่ ค.ศ. 1910 (พ.ศ. 2453) จนกระทั่งหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลงในปี ค.ศ.1945 (พ.ศ.2488) โดยญี่ปุ่นเป็นประเทศหนึ่งในฝ่ายอักษะที่แพ้สงคราม คาบสมุทรเกาหลีจึงแยกออกเป็นสองฝั่ง โดยอาณาเขตของเกาหลีเหนืออยู่ภายใต้การดูแลของประเทศสหภาพสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียต (Union of Soviet Socialist Republics: USSR) และอาณาเขตของเกาหลีใต้อยู่ในการดูแลของประเทศสหรัฐอเมริกา โดยโซเวียตจัดตั้งระบอบการปกครองแบบคอมมิวนิสต์ในพื้นที่เหนือเส้นขนานที่ 38 และพื้นที่ใต้เส้นดังกล่าว สหรัฐอเมริกาจัดตั้งรัฐบาลทหารซึ่งหลายปีต่อมาได้พัฒนามาเป็นรัฐบาลประชาธิปไตย

ปัจจุบันประเทศเกาหลีใต้มีผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ หรือ GDP สูงเป็นอันดับที่ 14 ของโลก ประชาชนในประเทศเกาหลีใต้มีมาตรฐานความเป็นอยู่ในระดับเดียวกับหลายประเทศในยุโรป เช่น สเปน และโปรตุเกส นอกจากนี้ เกาหลีใต้ยังเป็นสมาชิกขององค์กรเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา หรือโออีซีดี (Organization for Economic Co-operation and Development: OECD) ขณะที่ในประเทศเกาหลีเหนือ การปกครองเป็นแบบคอมมิวนิสต์ที่มีการวางแผนเศรษฐกิจจากส่วนกลาง (centrally planned economy) การมีทรัพย์สินส่วนบุคคลเป็นสิ่งผิดกฎหมาย ไม่มีตลาดเสรี และประชาชนไม่มีเสรีภาพส่วนบุคคล ไม่มีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น หรือในการนับถือศาสนา ประชาชนในประเทศเกาหลีเหนือมีระดับมาตรฐานความเป็นอยู่เพียง 1 ใน 10 ของประเทศเกาหลีใต้ หรือใกล้เคียงกับประเทศรายได้ต่ำในแอฟริกา และประชากรมีอายุขัยเฉลี่ย (life expectancy) ต่ำกว่าประชากรในประเทศเกาหลีใต้ถึง 10 ปี

นายอาเซโมกลู และนายโรบินสัน ตั้งคำถามว่า เหตุใดสถาบันในประเทศสหรัฐอเมริกาจึงเอื้อต่อการประสบความสำเร็จทางเศรษฐกิจมากกว่าประเทศเม็กซิโก และเหตุใดสถาบันในประเทศเกาหลีใต้จึงเอื้อต่อการประสบความสำเร็จทางเศรษฐกิจมากกว่าประเทศเกาหลีเหนือ นอกจากนี้ ผู้เขียนทั้งสองยังได้สำรวจและวิเคราะห์ข้อมูลประวัติศาสตร์ของอีกหลายประเทศ เช่น สาธารณรัฐโรมันและจักรวรรดิโรมัน (Roman Republic and Roman Empire) อารยธรรมมายา (Maya civilization) อังกฤษในยุคกลางและจักรวรรดิอังกฤษ (Medieval England and the British Empire) ประเทศจีนในยุคราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิง (Ming and Qing Dynasties) สหภาพสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียต (USSR) และประเทศรัสเซีย รวมถึงอีกหลายประเทศในแถบลาตินอเมริกาและแอฟริกา

การวิเคราะห์สถาบัน

จากข้อมูลประวัติศาสตร์การพัฒนาเศรษฐกิจและการเมืองของหลายประเทศ นายอาเชโมกลูและนายโรบินสันได้วิเคราะห์ และแบ่งกลุ่มสถาบันเศรษฐกิจและสถาบันการเมืองออกเป็น 2 ประเภทหลักดังนี้

  1. สถาบันแบบตักตวงหรือกอบโกย (extractive institutions)

    สถาบันแบบนี้เป็นสถาบันที่เอื้อให้คนจำนวนน้อยที่เป็นกลุ่มชนชั้นนำหรืออีลิท (elite) ในสังคมสามารถตักตวงผลประโยชน์และทรัพยากรของสังคมมากระจุกไว้กับกลุ่มตนเอง ไม่ว่าจะเป็นอำนาจหรือความมั่งคั่ง ส่งผลให้เกิดความเหลื่อมล้ำและการกดขี่

    ประเทศที่มีสถาบันเศรษฐกิจแบบตักตวง (extractive economic institutions) มักจะมีปัญหาในเรื่องกฎหมายและการบังคับใช้กฎหมาย สิทธิการเป็นเจ้าของในทรัพย์สินไม่มีความน่าเชื่อถือและไม่แน่นอน ตลาดมีกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อผู้เข้ามาแข่งขันรายใหม่ และสภาพการแข่งขันไม่มีความยุติธรรมต่อทุกฝ่าย (non-level playing field) ขณะที่สถาบันการเมืองแบบตักตวง (extractive political institutions) คือสถาบันการเมืองที่ก่อให้เกิดการกระจุกตัวของอำนาจในคนกลุ่มน้อย โดยไม่มีการตรวจสอบถ่วงดุล และปราศจากหลักนิติธรรม (rule of law)

  2. สถาบันแบบครอบคลุม (inclusive institutions)

    สถาบันแบบครอบคลุมเป็นสถาบันที่เอื้ออำนวยให้มีกฎระเบียบที่มีความยุติธรรมต่อทุกฝ่าย (level playing field) ปัจเจกบุคคลมีเสรีภาพในการดำเนินการตามความฝันและความสนใจของตน ซึ่งจะทำให้เกิดนวัตกรรมใหม่ สนับสนุนและส่งเสริมการมีส่วนร่วมของทุกฝ่าย และมีการจัดสรรทรัพยากรของสังคมอย่างเท่าเทียม สถาบันเศรษฐกิจแบบครอบคลุม (inclusive economic institutions) เป็นสถาบันเศรษฐกิจที่กำหนดเรื่องสิทธิในทรัพย์สินไว้แน่นอนและน่าเชื่อถือ ไม่มีปัญหาด้านกฎหมายและการบังคับใช้ (law and order) ระบบตลาดเปิดกว้าง และเอื้อต่อผู้แข่งขันรายใหม่ รักษาสัญญาและคุ้มครองการลงทุน ซึ่งเอื้อต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ รัฐบาลสนับสนุนบริการสาธารณะ ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการด้านการศึกษา และคนส่วนใหญ่มีโอกาสเท่าเทียมกัน ในทำนองเดียวกัน สถาบันการเมืองแบบครอบคลุม (inclusive political institutions) เป็นสถาบันการเมืองที่ให้ความสำคัญต่อการมีส่วนร่วมของทุกคน มีลักษณะพหุนิยม (pluralism) มีระบบตรวจสอบและถ่วงดุลนักการเมืองและผู้มีอำนาจ และยึดมั่นในหลักนิติธรรม

สถาบันกับการเติบโตทางเศรษฐกิจ

ในอดีต แทบทุกประเทศในโลกมีการปกครองแบบมีเจ้าผู้ครองแคว้น หรือราชวงศ์ที่ปกครองประเทศแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ (absolute monarchy) ดังนั้น ตามนิยามของนายอาเซโมกลูและนายโรบินสัน ประเทศทั้งหลายจึงมีสถาบันแบบตักตวง เช่นนั้นแล้วจึงเกิดคำถามว่า สถาบันแบบครอบคลุมเกิดขึ้น และพัฒนามาได้อย่างไร ซึ่งผู้เขียนทั้งสองให้ความสำคัญกับการปฏิวัติอันรุ่งโรจน์ (The Glorious Revolution) ในประเทศอังกฤษปี ค.ศ. 1688 ซึ่งถือเป็นการสิ้นสุดของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ทำให้กษัตริย์อังกฤษเป็นประมุขของประเทศภายใต้รัฐธรรมนูญ ระบบการเมืองเปิดกว้างขึ้นสำหรับคนส่วนใหญ่ในสังคม เกิดสังคมแบบพหุนิยม (pluralistic society) ซึ่งทำให้สถาบันการเมืองเริ่มเปลี่ยนผ่านจากแบบตักตวงไปสู่สถาบันการเมืองแบบครอบคลุม และนำไปสู่การสร้างระเบียบกฎเกณฑ์ในการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจในลักษณะครอบคลุมมากขึ้น รัฐบาลสร้างแรงจูงใจให้มีการลงทุน การค้า และการสร้างนวัตกรรม บังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับสิทธิในทรัพย์สินอย่างแน่วแน่ รวมถึงการให้สิทธิบัตรต่อการคิดค้นเทคโนโลยี และผลิตภัณฑ์ใหม่ ซึ่งกระตุ้นให้เกิดการคิดค้นนวัตกรรมใหม่ เกิดการทำลายอย่างสร้างสรรค์ (creative destruction) ยุติการเรียกเก็บภาษีตามอำเภอใจ และกำจัดการผูกขาดต่าง ๆ สิ่งเหล่านี้ปูพื้นฐานให้เกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรม (The Industrial Revolution) ในเวลาต่อมาในศตวรรษที่ 18 และ 19

การปฏิวัติอุตสาหกรรมมีผลกระทบอย่างมากต่อระบบการผลิตและวิถีชีวิตในประเทศอังกฤษ และประเทศอื่น ๆ ในยุโรป และต่อมาได้แผ่ขยายไปสู่ประเทศในภูมิภาคอื่น ๆ การปฏิวัติอุตสาหกรรมทำให้สังคมปรับเปลี่ยนจากสังคมเกษตรกรรมไปสู่สังคมอุตสาหกรรม การใช้เครื่องจักรใหม่ และระบบการบริหารจัดการแบบใหม่ ทำให้การผลิตอุตสาหกรรมมีประสิทธิภาพ เพิ่มผลผลิตได้มากขึ้น ค่าจ้างเพิ่มขึ้น ราคาสินค้าลดลง และเกิดผลิตภัณฑ์ใหม่ สิ่งเหล่านี้ทำให้เกิดการย้ายถิ่นฐานจากพื้นที่ชนบทเข้าสู่พื้นที่ตัวเมืองที่เป็นแหล่งผลิตสินค้าอุตสาหกรรม นายอาเซโมกลู และนายโรบินสันชี้ว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจและการพัฒนาสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้เพราะสังคมได้ปรับเปลี่ยนจากการมีสถาบันแบบตักตวงไปสู่สถาบันแบบครอบคลุม

สถาบันเศรษฐกิจแบบครอบคลุมเป็นสถาบันที่เอื้อต่อคนส่วนใหญ่ให้มีส่วนร่วมในกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ปกป้องสิทธิในทรัพย์สินของทุกคน ไม่ว่าจะเป็นคนกลุ่มชั้นนำของสังคม หรือแรงงาน และเกษตรกร ให้โอกาสทุกคนในการใช้ความสามารถและทักษะในการดำเนินกิจกรรมที่ตนต้องการ ดังนั้น แรงงานทุกคนจึงมีแรงจูงใจในการเพิ่มผลิตภาพ (productivity) เพื่อให้ได้รายได้สูงขึ้น สถาบันเศรษฐกิจแบบครอบคลุมจะดำรงอยู่ยาวนานได้ต้องมีสถาบันการเมืองแบบครอบคลุม ที่ประชาชนส่วนใหญ่มีส่วนร่วมในการเมืองการปกครอง และการตัดสินใจของรัฐบาลเป็นไปเพื่อประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ หากปราศจากสถาบันการเมืองแบบครอบคลุม อำนาจทางการเมืองจะตกอยู่ในมือของคนกลุ่มน้อย ซึ่งไม่ช้าก็เร็วจะใช้อำนาจทางการเมืองแสวงหาอำนาจทางเศรษฐกิจให้เฉพาะกลุ่มของตน และทำลายสถาบันเศรษฐกิจแบบครอบคลุม ซึ่งในที่สุดจะทำให้การขยายตัวทางเศรษฐกิจไม่มีความยั่งยืน เพราะภายใต้สถาบันเศรษฐกิจแบบตักตวง แรงงานและคนส่วนมากจะขาดแรงจูงใจในการเพิ่มผลิตภาพ เนื่องจากผลผลิตที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่มักจะตกอยู่กับกลุ่มชนชั้นนำ

ความเห็นต่าง และคำชื่นชม

ประเด็นหลักจากตัวอย่างประเทศต่าง ๆ ในหนังสือ Why Nations Fail ดูเหมือนจะเป็นการเสนอคำอธิบายเกี่ยวกับปัจจัยที่ผลักดันให้เกิดระบอบเผด็จการ (dictatorial regimes) และระบอบประชาธิปไตย (democratic regimes) และเจาะลึกลงไปในเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ว่า ระบอบประชาธิปไตยเอื้อต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ เพราะมีสถาบันแบบครอบคลุม ในขณะที่ระบอบเผด็จการขัดขวางการเติบโตทางเศรษฐกิจ เพราะมีสถาบันแบบตักตวง อย่างไรก็ตาม มีนักวิชาการบางคนที่มีความเห็นต่างจากนายอาเซโมกลูและนายโรบินสัน เช่น นายเจฟฟรี แซคส์ (Jeffrey Sachs)

นายเจฟฟรี แซคส์ นักเศรษฐศาสตร์ชาวอเมริกันและศาสตราจารย์ที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบียในเมืองนิวยอร์คมองว่า หนังสือ Why Nations Fail ที่มุ่งเน้นแต่เรื่องสถาบันการเมืองภายในประเทศนั้นดูจะแคบไป และละเลยปัจจัยภายนอกที่สำคัญอื่น ๆ ที่มีผลกระทบต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ เช่น ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี และปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์ นายแซคส์เชื่อว่า ภูมิศาสตร์มีบทบาทที่สำคัญในการกำหนดรูปแบบของสถาบันและความอ่อนแอของรัฐบาลในประเทศแถบแอฟริกาตะวันตก ซึ่งไม่มีทางออกทะเล และมีเชื้อโรคชุกชุม คนเป็นโรคง่าย (disease prone) นอกจากนี้ มีตัวอย่างหลายประเทศที่แสดงให้เห็นว่า ระบอบเผด็จการก็สามารถส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจ เช่น ประเทศสิงคโปร์ และประเทศจีน ซึ่งถือเป็นกรณีโต้แย้งกับสมมติฐานของนายอาเซโมกลูและนายโรบินสัน ที่ระบุว่าสถาบันการเมืองแบบประชาธิปไตยเป็นเงื่อนไขเบื้องต้น (prerequisites) สำหรับการเติบโตทางเศรษฐกิจ2

นอกจากนี้ ยังมีคอลัมนิสต์บางคน เช่น นายวอร์เรน เบส (Warren Bass) ผู้เป็นนักเขียนของหนังสือพิมพ์หลายฉบับ เช่น The New York Times The Washington Post และ The Wall Street Journal ซึ่งแม้จะชื่นชมหนังสือเรื่อง Why Nations Fail แต่ก็ตั้งข้อสังเกตว่า เนื้อหาเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของประเทศต่าง ๆ ที่นายอาเซโมกลูและนายโรบินสันนำเสนอควรจะถูกตรวจสอบโดยนักประวัติศาสตร์ที่เชี่ยวชาญของแต่ละภูมิภาค เช่น การที่ผู้เขียนทั้งสองกล่าวหาว่าจักวรรดิออตโตมัน (Ottoman Empire) เป็นระบอบเผด็จการอย่างมาก (highly absolutist) อาจจะไม่ถูกต้อง

อย่างไรก็ตาม มีนักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบลหลายคนชื่นชมการวิเคราะห์ของนายอาเซโมกลูและนายโรบินสัน นอกจากนายเคนเนธ แอร์โรว์ และนายแกรี่ เบ็คเกอร์ ที่กล่าวถึงในตอนต้นของบทความแล้ว ยังมีนายโรเบิร์ต โซโลว์ (Robert Solow ได้รับรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ ค.ศ.1987) นายไมเคิล สเปนซ์ (Michael Spence ได้รับรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ ค.ศ. 2001) นายปีเตอร์ ไดมอนด์ (Peter Diamond ได้รับรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ ค.ศ. 2010) และบุคคลอื่น ๆ อีกหลายคน นอกจากนี้ คณะกรรมการที่พิจารณาผู้สมควรได้รับรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ในปี 2567 ตัดสินให้นายแดรอน อาเซโมกลู นายเจมส์ โรบินสัน และนายไซมอน จอห์นสัน4 ได้รับรางวัลนี้ โดยให้เหตุผลว่า “งานของทั้งสามคนนี้ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของสถาบันในสังคมที่มีผลต่อความรุ่งเรืองของประเทศ สังคมที่ไม่มีหลักนิติธรรมที่ดีและมีสถาบันที่เอาเปรียบประชาชนจะไม่สร้างการเติบโตหรือเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น งานวิจัยของผู้ได้รับรางวัลทั้งสามช่วยให้เราเข้าใจว่าทำไม”

ข้อคิดในการพัฒนาประเทศ

หนังสือ Why Nations Fail เสนอทฤษฎีเกี่ยวกับการพัฒนาเศรษฐกิจ ความรุ่งเรือง และความยากจนของประเทศต่าง ๆ ว่ามีรากฐานมาจากสถาบันเศรษฐกิจและสถาบันการเมือง โดยนายอาเซโมกลูและนายโรบินสันอธิบายความแตกต่างระหว่างสถาบันเศรษฐกิจและการเมืองแบบตักตวงกับสถาบันเศรษฐกิจและการเมืองแบบครอบคลุม และใช้ข้อมูลจากประวัติศาสตร์อธิบายว่า เหตุใดสถาบันแบบครอบคลุมจึงเกิดขึ้นในบางประเทศ และไม่เกิดขึ้นในบางประเทศ รวมทั้งชี้ให้เห็นว่า ประเทศที่มีสถาบันเศรษฐกิจและการเมืองแบบตักตวงมีแนวโน้มที่จะไม่มีการเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเหตุผลว่า เศรษฐกิจจะเติบโตอย่างยั่งยืนได้ต้องมีนวัตกรรม และนวัตกรรมเป็นสิ่งที่คู่กับการทำลายอย่างสร้างสรรค์ (creative destruction) การทำลายอย่างสร้างสรรค์ทำให้เกิดสิ่งใหม่ที่ดีกว่ามาทดแทนสิ่งเก่า แต่กระบวนการนี้จะสั่นคลอนความสัมพันธ์ทางการเมือง และผู้มีอำนาจภายใต้สถาบันแบบตักตวงมักจะต้านเอาไว้ การเติบโตภายใต้สถาบันแบบตักตวงจึงมักจะอยู่ได้ไม่นาน นอกจากนี้ กลุ่มผู้มีอำนาจภายใต้สถาบันแบบตักตวงจะเอารัดเอาเปรียบทั้งด้านเศรษฐกิจและการเมือง ทำให้เกิดการต่อต้านจากประชาชนกลุ่มที่ไม่มีอำนาจดังกล่าว สังคมภายใต้สถาบันแบบตักตวงจึงมักจะขาดเสถียรภาพทางการเมือง พลังร่วม (synergy) ระหว่างสถาบันเศรษฐกิจแบบตักตวง และสถาบันการเมืองแบบตักตวงจะก่อให้เกิดวงจรเลวร้าย (vicious circle) ในขณะที่พลังร่วมระหว่างสถาบันเศรษฐกิจแบบครอบคลุม และสถาบันการเมืองแบบครอบคลุมจะก่อให้เกิดวงจรดีงาม (virtuous circle) ชึ่งจะเกื้อหนุนให้ประเทศมีความเจริญรุ่งเรืองและมีการเติบโตอย่างยั่งยืน

อ่านเพิ่มเติม

Acemoglu, Daron and Robinson, James A. (2012) Why Nations Fail:The Origins of Power, Prosperity, and Poverty. New York: Crown Business.

https://en.wikipedia.org/wiki/Why-Nations-Fail

https://britannica.com/event/Word-War-II

เชิงอรรถ

  1. บทความนี้ปรับปรุงจากบทความซึ่งนำเสนอต่อที่ประชุมสำนักธรรมศาสตร์และการเมือง ราชบัณฑิตยสภา วันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2567
  2. Kenneth J. Arrow: Acemoglu and Robinson have made an important contribution to the debate as to why similar – looking nations differ so greatly in their economic and political development. Through a broad multiplicity of historical examples, they show how institutional developments, sometimes based on very accidental circumstances, have made enormous consequences. The openness of a society, its willingness to permit creative destruction, and the rule of law appear to be decisive for economic development
  3. Gary S. Becker: The authors convincingly show that countries escape poverty only when they have appropriate economic institutions, especially private property and competition. More originally, they argue countries are more likely to develop the right institutions when they have an open pluralistic political system with competition for political office, a wide spread electorate, and openness to new political leaders. This intimate connection between political and economic institutions is the heart of their major contribution, and has resulted in a study of great vitality on one of the crucial questions in economic and political economy.
  4. นายไซมอน จอห์นสัน (Simon Johnson) เป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่สถาบันเทคโนโลยีแห่งแมสซาชูเซตส์ และเคยร่วมทำวิจัยเกี่ยวกับบทบาทของสถาบันต่อการเติบโต และมีงานเขียนร่วมกันกับนายอาเซโมกลู และนายโรบินสัน หลายชิ้น เพียงแต่เขาไม่ได้ร่วมเขียนหนังสือ Why Nations Fail

ปราณี ทินกร
ราชบัณฑิต ประเภทวิชาสังคมศาสตร์ สาขาวิชาเศรษฐศาสตร์ สำนักธรรมศาสตร์และการเมือง ราชบัณฑิตยสภา