อ่าน My Name is Red กับการปะทะกันของอารยธรรม (Clash of Civilizations)

6 กุมภาพันธ์ 2568
158 views

My Name is Red เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตและการทำงานของจิตรกรในอาณาจักรออตโตมันในศตวรรษที่ 16 แต่งโดยนักเขียนรางวัลโนเบลชาวตุรกีชื่อว่า Orhan Pamuk ตีพิมพ์ครั้งแรกเป็นภาษาตุรกีในปี 1998 My Name is Red ได้รับการยอมรับจากนักอ่านทั่วโลกว่าเป็นยอดนวนิยายด้วยวิธีการเล่าเรื่องที่แตกต่างจากนวนิยายอื่นๆ โดยในแต่ละบทจะเป็นการผลัดกันเล่าเรื่องจากมุมมองของตัวละครต่างๆ ทั้งที่เป็นมนุษย์ที่ยังมีชีวิตอยู่ (เช่น แบล็ก เอนิชเต และเชคูเร) และคนที่ตายไปแล้ว (เช่น ศพของเอเลอแกนต์) และรูปวาดของทั้งสิ่งมีชีวิต (เช่น ม้า หมา และต้นไม้) และสิ่งไม่มีชีวิต (เช่น เหรียญทอง และสีแดง) นอกจากนี้ยังใช้วิธีให้ตัวละครทั้งหลายเล่านิทานเพื่อสะท้อนสิ่งที่ตนคิด เรื่องเริ่มต้นในบทที่ 1 ด้วยคำบอกเล่าจากศพของจิตกรชื่อเอเลอแกนต์เกี่ยวกับการตายของตน ศพไม่ได้บอกว่าฆาตกรคือใคร แต่กลับบอกว่า “ไอ้ฆาตกรที่ให้ทุกข์แก่ข้าเป็นใคร เหตุใดมันจึงสังหารข้าด้วยวิธีคาดไม่ถึงเช่นนี้ ขอให้ท่านสงสัยและใส่ใจสองข้อนี้ไว้ให้ดี… ข้าขอเตือนสักหน่อย ข้าถูกฆ่าปิดปากเรื่องการสมรู้ร่วมคิดอันน่าตกใจเพื่อทำลายศาสนา ประเพณี และวิถีการมองโลกของพวกเรา” (p.18) คำบอกเล่านี้ทำให้ผู้อ่านรับรู้ว่า My Name is Red เป็นนิยายฆาตกรรมสืบสวนที่ฆาตกรมีแรงจูงใจจากความขัดแย้งในเรื่อง “ศาสนา ประเพณี และวิถีการมองโลก”

My Name is Red

ตัวละครหลักของเรื่องคือชายหนุ่มวัย 36 ปี ชื่อว่า แบล็ก เขากลับมายังอิสตันบูล (เมืองที่มีประชากรหนาแน่นที่สุดของตุรกีในปัจจุบัน) อีกครั้งในปี 1591 หลังจากได้รับจดหมายจากน้าเขยของเขาซึ่งเขาเรียกว่า เอนิชเต แจ้งให้เขากลับมาช่วยทำหนังสือลับถวายองค์สุลต่านให้สำเร็จก่อนงานฉลองฮิจเราะห์ศักราชครบรอบหนึ่งพันปี เขาเคยอาศัยอยู่ในบ้านของเอนิชเตมาก่อน เพราะเขาไปตกหลุมรัก เชคูเร ลูกสาวคนสวยของเอนิชเตซึ่งมีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องของตัวเขาเอง จึงถูกตะเพิดออกจากบ้านไปเร่ร่อนทำงานในเมืองต่างๆ ในเปอร์เซียนานถึง 12 ปี ในการกลับคืนมาหนนี้ แบล็กตั้งความหวังว่าจะสมหวังในรักที่ยังตราตรึงอยู่ในใจ ด้วยหวังผลในความรักนี่เอง เขาจึงจับพลัดจับผลูเข้าไปพัวพันกับการฆาตกรรมและการค้นหาฆาตกร เรื่องราวในหนังสือจึงเป็นการแต้มสีแดงแห่งความรักและเลือดลงบนภาพวาดแห่งชีวิตของเขา ที่ไหนมีสีแดง “ที่นั่นจะเห็นผู้คนดวงตาเป็นประกาย อารมณ์เร่าร้อนรุนแรง คิ้วเลิกสูง ใจเต้นระรัว” (p. 263 ในบทที่ 31 “ข้าคือสีแดง” อันเป็นที่มาของชื่อนิยาย)

ต้นตอแห่งความขัดแย้งเกิดขึ้นจากแนวคิดทางศิลปะ เอนิชเตเล่าว่าสุลต่านรับสั่งให้เขารับผิดชอบทำหนังสือภาพด้วยมุมมองของมนุษย์ที่มีต่อโลกซึ่งเป็นแนวคิดที่มีรากฐานมาจากวัฒนธรรมตะวันตก เขาเล่าประสบการณ์ตอนได้โอกาสไปเยือนเมืองเวนิสและได้เห็นรูปภาพถูกวาดขึ้นตามแนวคิดนี้ว่า “จิตรกรเวนิสวาดรูปบุรุษ... ในแบบที่ดูแล้วรู้ทันทีว่าเป็นใคร... (เขา) ค้นพบกลวิธีที่ทำให้สามารถแยกแยะคนแต่ละคนได้ โดยไม่ต้องอาศัยเครื่องแบบหรือเหรียญตรา แต่ด้วยลักษณะเฉพาะบนใบหน้า [1] สิ่งนี้เองคือหัวใจสำคัญของ ‘ศิลปะการวาดภาพเหมือน’…” (p.47) ซึ่งขัดแย้งกับแนวคิดที่มีรากฐานมาจากวัฒนธรรมอิสลาม ที่เชื่อว่าภาพวาดคือการแสดงภาพที่อัลเลาะห์มองโลก ภาพวาดจึงไม่จำเป็นต้องมีมิติเพื่อระบุระยะทางใกล้-ไกลจากผู้มอง ไม่จำเป็นต้องมีแสงเงา ไม่ใช่การวาดภาพเหมือน แต่เป็นการวาดภาพเพื่อเล่าเรื่องราวบางอย่าง และต้องไม่มีเอกลักษณ์และลายมือชื่อของจิตรกรอยู่ในภาพวาด “‘การตาบอด’ คือจุดสูงสุดของศิลปะการวาดภาพ มันคือการมองเห็นสิ่งที่อัลเลาะห์ประสงค์ให้เห็นในความมืดมิด” (p.93) (ดูตัวอย่างในรูปที่ 1) สำหรับตัวละครจำนวนหนึ่งในเรื่องนี้ การทำหนังสือด้วยแนวคิดตะวันตกจึงหมายถึงการลบหลู่พระเจ้า เหล่าจิตรกรที่เอนิชเตว่าจ้างให้วาดภาพลงในหนังสือเริ่มไม่มั่นใจว่าพวกตนกำลังทำอะไรอยู่ พวกตนถูกเอนิชเตหลอกให้ทำสิ่งที่ขัดกับหลักศาสนาหรือไม่ ความขัดแย้งและความสงสัยนี้นำไปสู่ความไม่ไว้วางใจและฆาตกรรมในที่สุด


รูปที่ 1 ตัวอย่างของรูปฮุสเรฟแอบดูชิรินเปลือยกายอาบน้ำที่ถูกกล่าวถึงบ่อยครั้งใน My Name is Red ภาพนี้วาดโดย Shaikh Zada ในช่วงกลางศตวรรษที่ 16 ปัจจุบันเก็บไว้ที่ The Metropolitan Museum of Arts ในนครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา [2]

การปะทะกันของอารยธรรม (The Clash of Civilizations)

Samuel Huntington นักรัฐศาสตร์ชาวอเมริกันเขียนในบทความ “The Clash of Civilizations?” ซึ่งตีพิมพ์ในวารสาร Foreign Affairs เมื่อปี 1993 ว่า “ตามประวัติศาสตร์แล้ว ตุรกีเป็นประเทศที่ฉีกขาดบาดลึกที่สุด” (Huntington, 1993, p.43) “ฉีกขาด” ในที่นี้หมายถึงประเทศที่ “มีอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมในระดับหนึ่ง แต่มีการแบ่งแยกว่าสังคมจะเป็นส่วนหนึ่งของอารยธรรม (civilization) หนึ่งหรืออีกวัฒนธรรมหนึ่งกันแน่” (p.42)

ความขัดแย้งใน My Name is Red ซึ่งถึงแม้จะเป็นเรื่องที่ถูกแต่งขึ้นมา แต่ก็น่าจะเป็นตัวอย่างที่ดีที่สะท้อนว่าทำไมตุรกีจึง “เป็นประเทศที่ฉีกขาดบาดลึกที่สุด” ในประวัติศาสตร์

Huntington นำสาระสำคัญในบทความไปขยายความจนกลายเป็นหนังสือที่มีชื่อเสียงในแวดวงรัฐศาสตร์ในปี 1996 ชื่อว่า The Clash of Civilizations and the Remaking of World Order เขาเสนอว่า ในโลกยุคหลังสงครามเย็นที่ทั้งโลกต่างเห็นพ้องกับอุดมการณ์เสรีนิยมประชาธิปไตย ความขัดแย้งไม่ได้เกิดมาจากความไม่ลงรอยกันของอุดมการณ์อีกต่อไป แต่จะเกิดจาก “การปะทะกันของอารยธรรม” (The Clash of Civilizations) โดยเขาแบ่ง “อารยธรรมหลัก” (major civilizations) ของโลกออกเป็น 8 อารยธรรม ได้แก่ อารยธรรมตะวันตก (Western Civilization) อารยธรรมธรรมละตินอเมริกัน (Latin American Civilization) อารยธรรมแอฟริกัน (African Civilization) อารยธรรมอิสลาม (Islamic Civilization) อารยธรรมออร์โธดอกซ์ (Orthodox Civilization) อารยธรรมอินเดียน (Indian Civilization) อารยธรรมพุทธ (Buddhist Civilization) อารยธรรมจีน (Sinic Civilization) และอารยธรรมญี่ปุ่น (Japanese Civilization) (ดูรูปที่ 2) แต่ละอารยธรรมมีองค์ประกอบต่างๆ เช่น ภาษา ศาสนา วัฒนธรรม และประวัติศาสตร์เป็นของตนเอง บางอารยธรรมมีความใกล้ชิดกัน แต่บางอารยธรรมแตกต่างกันสุดขั้ว เมื่อเศรษฐกิจโลกเติบโตขึ้นแต่โลกแคบลงจากกระบวนการโลกาภิวัตน์ ผู้คนจากอารยธรรมเดียวกันจะสัมพันธ์กันมากขึ้นผ่านองค์ประกอบในอารยธรรมของตน ในขณะที่ผู้คนจากต่างอารยธรรมจะเผชิญหน้ากันกันมากขึ้น ทำให้องค์ประกอบที่เข้ากันไม่ได้ของแต่ละอารยธรรมถูกเผยแก่กันและมีโอกาสปะทะกันมากขึ้น นี่คือต้นตอแห่ง “การปะทะกันของอารยธรรม”

รูปที่ 2 แผนที่อารยะธรรมหลักในโลกตามที่ Huntington เสนอ (Andel, Bicik, and Blaha, 2018)

Huntington กล่าวว่าหนังสือของเขาตั้งใจจะเสนอ “กรอบ (framework) หรือกระบวนทัศน์ (paradigm) สำหรับมองการเมืองโลกซึ่งจะมีความหมายสำหรับนักวิชาการและมีประโยชน์สำหรับผู้กำหนดนโยบาย” (Huntington, 1996, p.13) กรอบว่าด้วย “การปะทะกันของอารยธรรม” ได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลายตั้งแต่ถูกเผยแพร่ครั้งแรกจนถึงปัจจุบัน ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากการที่นักวิชาการและผู้กำหนดนโยบายเห็นว่าเหมาะสมในการนำมาใช้เพื่อทำความเข้าใจสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นหัวหอกของอารยธรรมตะวันตกในปัจจุบัน กับกลุ่มต่างๆ ในอารยธรรมอิสลาม ตั้งแต่สงครามอ่าวเปอร์เซีย ความขัดแย้งกับกลุ่มอัลกออิดะห์ (Al-Quaeda) การก่อการร้าย 9-11 และสงครามในอัฟกานิสถาน เป็นต้น นอกจากนี้ Huntington ยังใช้กรอบนี้คาดการณ์ด้วยว่าอารยธรรมจีนจะอาศัยความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจและองค์ประกอบที่ใกล้เคียงกับอารยธรรมอื่นๆ รอบด้าน ในการขยายอำนาจและกลายเป็นมหาอำนาจที่ท้าทายอารยธรรมตะวันตก ซึ่งผู้ที่จับตามองเรื่องนี้จำนวนไม่น้อยก็เห็นว่าสอดคล้องกับสถานการณ์ระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีนในปัจจุบัน

วิพากษ์ “การปะทะกันของอารยธรรม: จากแนวคิดสู่การปฏิบัติ

แต่ทว่า เมื่อกรอบที่ Huntington เสนอต่อสาธารณะนำไปสู่การเข้าใจว่าการปะทะกันของอารยธรรมต่างๆ ในโลกเป็นปรากฏการณ์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ คติที่ได้จากการใช้กรอบนี้ในการวิเคราะห์ก็คือ ผู้คนจำเป็นที่จะต้องปกป้องอารยธรรมของตน การปฏิสัมพันธ์ระหว่างอารยธรรมคือความเสี่ยงในการก่อความขัดแย้ง และการหาประโยชน์จากอารยธรรมอื่นๆ เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อความอยู่รอด ผู้มีอำนาจไม่น้อยได้รับอิทธิพลจากแนวคิดนี้ ยกตัวอย่างเช่น ในปี 2020 Donald Trump ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกากล่าวถึงความจำเป็นในการต่อสู้กับการก่อการร้ายอิสลาม (Islamic Terrorism) เพื่อปกป้องอารยธรรมตะวันตกว่า “คำถามรากฐานในยุคของเราก็คือ ตะวันตกต้องการที่จะเอาตัวรอดไปให้ได้หรือไม่... เรามีความประสงค์และความกล้าหาญที่จะปกป้องอารยธรรมของเราจากผู้ที่คิดจะล้มล้างและทำลายมันหรือไม่[3]  ในแง่นี้ “การปะทะกันของอารยธรรม” กำลังทำหน้าที่เป็นกรอบความคิดที่ชักนำผู้นำอย่าง Trump และผู้นำของอีกหลายชาติ เช่น Viktor Orban นายกรัฐมนตรีฮังการี Janez Jansa นายกรัฐมนตรีสโลวีเนีย รวมไปถึงผู้นำขององค์กรอื่นๆ เช่น อัลกออิดะห์ ให้แบ่งมนุษยชาติออกเป็นฝักเป็นฝ่าย ตีกรอบว่าอารยธรรมตะวันตกกับอารยธรรมอิสลามนั้นจะต้องปะทะกัน และนำมาซึ่งความแตกแยกที่ประสานคืนได้ยาก (Heynes 2017, 2019)

การก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาเป็นสมัยที่สองของ Trump คือตัวอย่างที่ชัดเจนว่านโยบายที่เลือกปฏิบัติกับผู้คนต่างอารยธรรม เช่น การกีดกันการค้า หรือการกีดกันผู้อพยพเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย เป็นที่ยอมรับในวงกว้าง ถ้าอารยธรรมสามารถขีดเส้นแบ่งได้จริงตามที่ Huntington เสนอ และแต่ละอารยธรรมมี “ศาสนา ประเพณี และวิถีการมองโลก” ที่ขัดแย้งกันจริง คำถามคือ นโยบายเหล่านี้คือวิธีที่เหมาะสมหรือไม่ในการจัดการกับการปะทะกันระหว่างอารยธรรมต่างๆ ในโลก? การที่สหรัฐอเมริกาเพิ่มภาษีสินค้านำเข้าจากจีนและจีนตอบโต้จนกลายเป็นสงครามการค้า ไม่น่าจะใช่การจัดการความขัดแย้งที่ดี อันที่จริง ก็น่าสงสัยว่าประโยชน์ที่สหรัฐอเมริกาคาดว่าจะได้ เช่น การเพิ่มการจ้างงานหรือการกระตุ้นการผลิตภายในประเทศ จะเกิดขึ้นจากนโยบายดังกล่าวได้อย่างไร?

บทส่งท้าย

ในตอนท้ายของเรื่อง My Name is Red ฆาตกรผู้ปฏิเสธแนวคิดตะวันตกที่แทรกซึมเข้ามาในศิลปะออตโตมันพยายามจะหลบหนีการจับกุม และได้ประกาศว่าจะหนีความผิดไปยังฮินดูสถาน (ซึ่งหมายถึงประเทศอินเดีย) “สุลต่านอักบาร์แห่งฮินดูสถานทรงทุ่มเงินทองของกำนัลเพื่อรวบรวมจิตกรฝีมือดีที่สุดในโลกไปไว้ในราชสำนักของพระองค์” (p.544) “ข้าจะสำแดงความสามารถทางศิลปะที่แท้จริงในฮินดูสถาน... ข้าจะวาดรูปเพื่อให้อัลเลาะห์ตัดสินข้า” (p.546) อัลเลาะห์ในฮินดูสถาน? นี่ไม่ใช่เพียงตลกร้ายของชะตากรรมฆาตกรในบทที่ไขปริศนาซึ่ง Pamuk วางไว้ตลอดทั้งเรื่อง แต่ยังเป็นรายละเอียดที่ชวนให้ผู้อ่านคิดว่าสุดท้ายแล้วความขัดแย้งระหว่างอารยธรรมต่างๆ ที่ตัวละครอ้างว่าสำคัญนักหนาจนถึงกับต้องฆ่ากันเพื่อธำรงความเชื่อของตนเองนั้นมีอยู่จริงหรือ


[1]ต้นฉบับภาษาอังกฤษเขียนว่า “Distinctive shape of his face” ในฉบับแปลใช้ “เอกลักษณ์ของรูปหน้า” ผู้เขียนแปลเป็น “ลักษณะเฉพาะบนใบหน้า” เพื่อหลีกเลี่ยงความสับสนกับคำว่า “เอกลักษณ์” ที่แปลมาจากคำว่า “style

[2] https://www.metmuseum.org/art/collection/search/446594

[3] https://time.com/4846924/read-president-trumps-remarks-on-defending-civilization-in-poland/

บรรณานุกรม

Andel, J., I. Bicik, and J. D. Blaha, 2018. Concepts and Delimitation of the World’s Macro Regions. Miscellanea Geographica, Vol. 22, No. 1, 16-21.

Haynes, Jeffrey. 2017. Donald Trump, “Judeo-Christian Values,” and the “Clash of Civilizations.” The Review of Faith & International Affairs, Vol. 15, No. 3, 66-75.

Haynes, Jeffrey. 2019. From Huntington to Trump: Twenty-Five Years of the “Clash of Civilizations.” The Review of Faith & International Affairs, Vol. 17, No. 1, 11-23.

Huntington, Samuel P. 1993. The Clash of Civilizations? Foreign Affairs, summer, 22-49.

Huntington, Samuel P. 1996. The Clash of Civilizations and the Remaking of World Order. New York: Simon and Schuster.

นภนต์ ภุมมา
อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์