เกณฑ์ใหม่เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ: ทางออกงบประมาณ หรือ การเร่งวิกฤตผู้สูงอายุไทย?

3032 views
ประเทศไทยมีวิวัฒนาการนโยบายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุที่มีจุดเริ่มต้นในปี 2536 จากการให้เฉพาะผู้ที่มีฐานะยากจน แต่ตั้งแต่ ปี 2552 เป็นต้นมา นโยบายข้างต้นได้ปรับมาเป็นแบบถ้วนหน้า ต่อมาได้มีการยกร่างระเบียบเกี่ยวกับการจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ โดยคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตีความว่า ระเบียบที่ออกมานั้นไม่สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ จึงเป็นที่มาของการออกระเบียบใหม่เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2566 ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2566 เป็นต้นไป โดยหลักเกณฑ์ในระเบียบใหม่ที่เป็นประเด็นวิพากษ์ในวงกว้างคือ หนึ่งในคุณสมบัติของผู้มีสิทธิได้รับเงินเบี้ยยังชีพจะต้องเป็นผู้ไม่มีรายได้หรือมีรายได้ไม่เพียงพอแก่การยังชีพตามที่คณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติกำหนดจากการอิงตามกฎหมายว่าด้วยผู้สูงอายุ การกำหนดคุณสมบัติเช่นนี้มีนัยว่า เบี้ยยังชีพจะไม่เป็นแบบถ้วนหน้าอีกต่อไป ดังนั้น ภารกิจสำคัญต่อจากนี้ก็เป็นเรื่องที่คณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติจะต้องเป็นผู้กำหนดหลักเกณฑ์คุณสมบัติของผู้ที่จะได้รับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุที่ต้องรอดูกันต่อไปว่าจะออกมาอย่างไร

ในส่วนของจำนวนผู้ที่จะได้รับผลกระทบในเวลาอันใกล้นี้ หากคำนวณแบบสังเขปจากสถิติของกรมการปกครองล่าสุด (มกราคม 2566) พบว่ามีประชากรไทยที่อายุ 59 ปี กว่า 9 แสนคน และมีจำนวนประชากรที่เข้าคิวรอที่จะเกษียณในปีถัดไปมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นทุกปี สถานการณ์เช่นนี้จะเป็นไปอีก 20 ปีข้างหน้า หลังจากนั้นสถานการณ์เช่นนี้จึงจะค่อยผ่อนคลายลง สมมติว่าเกณฑ์ความยากจนที่ใกล้เคียงกับกรณีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐจะถูกนำมาใช้ ในเงื่อนไขที่สัดส่วนของผู้สูงอายุมีฐานะยากจนคิดเป็นประมาณหนึ่งในสามของผู้สูงอายุทั้งหมด หากหักจำนวนคนจนออกจาก 9 แสนคนที่จะเกษียณในปีนี้ สังคมไทยมีผู้สูงอายุกว่า 6 แสนคนที่จะไม่มีสิทธิ์รับเบี้ยยังชีพดังเช่นรุ่นก่อนๆ และหากเกณฑ์คุณสมบัติดังกล่าวไม่เหมาะสมกับสภาวะความยากจนที่เป็นอยู่จริง ผู้สูงอายุจำนวนหนึ่งที่มีรายได้ไม่เพียงพอแต่ไม่ได้รับเงินช่วยเหลือ อันเป็นการเร่งวิกฤตปัญหาผู้สูงอายุให้เร็วยิ่งขึ้น ตัวอย่างที่เห็นชัดเจนในกรณีเช่นนี้ คือการคัดกรองผู้มีคุณสมบัติได้รับสิทธิบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเมื่อต้นปี 2566 มีผู้ลงทะเบียนโครงการบัตรคนจนทั้งสิ้นกว่า 22 ล้านคน แต่จากการประกาศผลในเดือนกุมภาพันธ์ 2566 โดย คณะกรรมการประชารัฐสวัสดิการเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม จำนวนผู้ได้รับสิทธิบัตรคนจนมีเพียง 14.5 ล้านคนเท่านั้น คนจนจึงตกหล่นจากการเข้าถึงสิทธิข้างต้นไปเป็นจำนวนมาก  ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงนโยบายเบี้ยยังชีพต้องมีหลักเกณฑ์ชัดเจนว่า บุคคลที่เป็นผู้สูงอายุที่จะไม่ได้สิทธิ์รับเบี้ยยังชีพจะมีรายได้เพียงพอต่อการยังชีพ

สำหรับประเด็นเบี้ยยังชีพ หากมองว่าเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่พึงควรได้สำหรับประชาชน รัฐบาลไม่ควรตัดสวัสดิการส่วนนี้ออก แต่หากมองว่าเป็นการสงเคราะห์ เบี้ยยังชีพก็ถือว่าเป็นเพียงหนึ่งในมาตรการ ในบรรดาหลายๆมาตรการ เพราะนโยบายการช่วยเหลือสามารถทำได้ทั้งสองฝั่งของสมการ คือฝั่งของการเพิ่มรายได้ ซึ่งรวมถึงเบี้ยยังชีพ และฝั่งของการลดค่าใช้จ่าย เช่น การช่วยเหลือค่าน้ำค่าไฟ และสาธารณูปโภคต่างๆ ซึ่งโดยสุทธิ รายได้ต้องเพียงพอแก่การยังชีพ ในความเห็นของผู้เขียน เรื่องที่น่าเป็นห่วงคือการปรับนโยบายส่วนใหญ่ เป็นการปรับเฉพาะเรื่อง ไม่ได้ดูภาพรวม กระนั้น ผู้สูงวัยควรมีสิทธิที่จะใช้ชีวิตอย่างมีความสุข มีความเพียงพอที่เป็นไปตามสิทธิขั้นพื้นฐาน ไม่ว่ารูปแบบหรือวิธีการช่วยเหลือจะเป็นอย่างไรก็ตาม

เมื่อพิจารณาถึงสิทธิขั้นพื้นฐานตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 48 ที่ระบุไว้ว่า "..บุคคลซึ่งมีอายุเกิน 60 และไม่มีรายได้เพียงพอแก่การยังชีพ และบุคคลยากไร้ ย่อมมีสิทธิได้รับความช่วยเหลือที่เหมาะสมจากรัฐบาล..." การปรับใช้เกณฑ์ว่า “ต้องจน” อาจไม่สามารถตอบโจทย์สำคัญว่า ทำอย่างไรให้คนจำนวนมากที่คุณสมบัติอาจจะไม่ตรงกับเกณฑ์มีรายได้เพียงพอกับรายจ่ายสามารถเข้าถึงความช่วยเหลือด้านการเงินจากรัฐบาลได้ ดังนั้นก่อนจะนำระเบียบดังกล่าวไปปฏิบัติจริง  รัฐบาลต้องสามารถอธิบายและพิสูจน์ได้ว่าการช่วยเหลือในด้านอื่นในภาพรวมสามารถทำให้เกิดความเพียงพอในการดำรงชีพตามสิทธิขั้นพื้นฐานได้หรือไม่ นอกจากนี้ หากหลักเกณฑ์ของรัฐบาลไม่ตรงกันกับหลักเกณฑ์ตามความเข้าใจของประชาชนที่มีรายได้ไม่เพียงพออาจจะไม่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ในรัฐธรรมนูญ 

หนึ่งในเหตุผลหลักที่รัฐบาลยกขึ้นมาชี้แจงต่อประชาชนคือ ข้อจำกัดทางงบประมาณจากรายจ่ายที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเมื่อมีจำนวนผู้สูงอายุมากขึ้น ทั้งนี้ หากเป็นหลักเกณฑ์เดิม รัฐบาลจะต้องจ่ายโดยรวมประมาณหนึ่งแสนหนึ่งหมื่นล้านบาทสำหรับประชาชนผู้สูงอายุจำนวนกว่า 11 ล้านคน (เฉลี่ยเดือนละประมาณ 800 บาทต่อคน)  แต่เมื่อเปรียบเทียบกับกรณีข้าราชการบำนาญ ที่มีจำนวนประมาณ 8 แสนคน แต่ใช้งบประมาณเกิน 3 แสนล้านบาทต่อปี (เฉลี่ยเดือนละ 3 หมื่นกว่าบาทต่อคน) และมีการคาดการณ์กันว่าจะเพิ่มสูงขึ้นถึงกว่า 4 แสนล้านบาทในอีก 5 ปีข้างหน้า ในเมื่อรัฐบาลยังมีความสามารถในการหาเงินมาสนับสนุนส่วนนี้ได้ ก็ควรจะมีความสามารถในการหาเงินมาสนับสนุนคนจำนวน 11 ล้านคน ที่ใช้งบประมาณน้อยกว่าได้เช่นกัน เพื่อลดความเหลื่อมล้ำและข้อกังขาในการใส่ใจดูแลคุณภาพชีวิตที่แตกต่างกันระหว่างข้าราชการซึ่งเป็นผู้กำหนดและปฏิบัตินโยบาย กับประชาชนทั่วไปซึ่งเป็นผู้เสียภาษี

 ในขณะนี้ ผู้เขียนเห็นว่ายังไม่สมควรที่จะนำระเบียบใหม่มาใช้ จนกว่าจะได้หลักเกณฑ์ที่เหมาะสม เป็นที่ยอมรับของประชาชน เพื่อไม่ให้เกิดการเร่งวิกฤตปัญหาผู้สูงอายุและการตอกย้ำความเหลื่อมล้ำในการดูแลประชาชนในภาคส่วนที่แตกต่างกัน
เอื้อมพร พิชัยสนิธ
ศาสตราจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์