เหลื่อมล้ำบนความพัฒนา? เมื่อความเท่าเทียมทางเพศของเกาหลีใต้ไม่ได้เติบโตตามประชาธิปไตยและการพัฒนาเศรษฐกิจ

1659 views
เมื่อกล่าวถึงประเทศที่พัฒนาแล้ว “เกาหลีใต้” ถือเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการพัฒนาอยู่ในลำดับต้น ๆ ของกลุ่มประเทศในแถบเอเชีย เนื่องจากเกาหลีใต้มีการพัฒนาประเทศได้อย่างก้าวกระโดดภายในระยะเวลาอันสั้น แต่เมื่อพิจารณาอย่างถี่ถ้วนขึ้น ผู้เขียนพบว่าสิ่งที่พัฒนาแล้วที่เห็นได้ชัดของเกาหลีใต้ คือ การพัฒนาในส่วนของมิติทางเศรษฐกิจและมิติทางการเมืองเป็นหลัก การพัฒนาทางเศรษฐกิจและความเข้มแข็งของประชาธิปไตยภายในประเทศมีการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง แต่ในมิติทางสังคมของเกาหลีใต้กลับยังไม่ได้มีการผลักดันและพัฒนาประเด็นด้านความเท่าเทียมทางเพศเท่าไรนัก จึงทำให้เกาหลีใต้เป็นประเทศที่มีความเหลื่อล้ำทางเพศระหว่างชายหญิงสูง ในขณะที่การพัฒนาทางเศรษฐกิจและความเข้มแข็งของประชาธิปไตยภายในประเทศกลับมีการเติบโตอย่างแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ

โดยคำว่า “ประชาธิปไตย” คือระบอบการปกครองที่อำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน มีหลักการที่มุ่งเน้นความสำคัญของประเด็นสิทธิและเสรีภาพ ตลอดจนความเสมอภาคของคนในสังคม และหมายรวมถึงในเรื่องของสิทธิทางเพศด้วย ดังนั้น การเรียกร้องสิทธิและความเท่าเทียมทางเพศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระหว่างเพศชายและเพศหญิงจึงเป็นหนึ่งในสิ่งที่ประเทศประชาธิปไตยให้ความสำคัญ ส่งผลให้ประเทศเหล่านี้มักมีความเท่าเทียมทางเพศที่สูงตามไปด้วยนั่นเอง 

จากรายงานการจัดอันดับดัชนีประชาธิปไตย (Democracy Index) ในปี 2022 โดย Economist Intelligence Unit (EIU) ที่ทำการเก็บข้อมูลและให้คะแนนตามเกณฑ์ที่กำหนดเพื่อวัดระดับความเป็นประชาธิปไตยใน 167 ประเทศทั่วโลก เกณฑ์ดังกล่าวประกอบด้วย 5 ปัจจัย ได้แก่ 1) กระบวนการเลือกตั้งและความเป็นพหุนิยม (Electoral Process and Pluralism) 2) การทำงานของรัฐบาล (Functioning of Government) 3) การมีส่วนร่วมทางการเมือง (Political Participation) 4) วัฒนธรรมทางการเมือง (Political Culture) และ 5)เสรีภาพของพลเมือง (Civil Liberties) โดยคะแนนที่ได้จากการวัดผลจะแบ่งออกเป็น 4 ระดับ ดังนี้ 
1) ประเทศที่มีประชาธิปไตยสมบูรณ์ (Full Democracies) 
2) ประเทศที่ประชาธิปไตยยังคงมีข้อบกพร่อง (Flawed Democracies) 
3) ประเทศที่ปกครองด้วยระบอบกึ่งอำนาจนิยม (Hybrid Regimes) 
4) ประเทศที่ปกครองด้วยระบอบเผด็จการหรืออำนาจนิยม (Authoritarian Regimes) 

ประเทศที่มีประชาธิปไตยสมบูรณ์ส่วนใหญ่อยู่ในแถบยุโรปและสแกนดิเนเวีย โดยประเทศที่มีดัชนีประชาธิปไตยสูงสุด คือ นอร์เวย์ ตามมาด้วยนิวซีแลนด์ ไอซ์แลนด์ สวีเดนและฟินแลนด์ ตามลำดับ ส่วนประเทศในแถบเอเชียที่จัดอยู่ในอยู่ระดับนี้ มีด้วยกัน 3 ประเทศ ได้แก่ ไต้หวัน ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ซึ่งอยู่ในอันดับที่ 10 16 และ 24 ตามลำดับ ดังตารางที่ 1 (The Economist Intelligence Unit Limited, 2023, น. 3-8) จะเห็นได้ว่าประเทศเหล่านี้เป็นประเทศที่มีภาพลักษณ์ความเป็นประชาธิปไตยสูง อีกทั้งยังเป็นประเทศที่เศรษฐกิจพัฒนาแล้วด้วย

อย่างไรก็ตาม เมื่อหันมาพิจารณาในส่วนของรายงานดัชนีช่องว่างระหว่างเพศชายและหญิง (Global Gender Gap Report) ปี 2022 โดย World Economic Forum (WEF) ซึ่งทำการพิจารณาจาก 4 องค์ประกอบ ได้แก่ 1) การมีส่วนร่วมและการเข้าถึงโอกาสทางเศรษฐกิจ (Economic Participation and Opportunity) 
2) การสำเร็จการศึกษา (Educational Attainment) 3) ด้านสาธารณสุขและการอยู่รอด (Health and Survival) และ 4) การมีอำนาจทางการเมือง (Political Empowerment) โดยดัชนีนี้จะมีค่าอยู่ระหว่าง 0-1 หากประเทศใดมีค่าเข้าใกล้ 1 จะหมายความว่าประเทศนั้นสามารถปิดช่องว่างทางเพศในภาพรวมได้มากซึ่งสะท้อนถึงการเข้าใกล้ความเท่าเทียมทางเพศที่สูงนั่นเอง โดยในรายงานนี้ พบว่า 5 ประเทศแรกที่มีความเท่าเทียมทางเพศสูงสุดเป็นกลุ่มเดียวกันกับประเทศที่มีประชาธิปไตยสมบูรณ์สูงสุดด้วย ซึ่งได้แก่ ประเทศไอซ์แลนด์ ฟินแลนด์ นอร์เวย์ นิวซีแลนด์และสวีเดน ตามลำดับ ในทางกลับกันประเทศที่ถูกจัดว่ามีประชาธิปไตยสมบูรณ์อย่างเกาหลีใต้ กลับถูกจัดให้อยู่ในอันดับที่ 99 ดังตารางที่ 2 (World Economic Forum, 2022, น. 8-10)


สถิติข้างต้นแสดงให้เห็นว่า เกาหลีใต้มีความไม่สัมพันธ์กันระหว่าง 2 ดัชนีข้างต้น กล่าวคือ เป็นประเทศที่มีประชาธิปไตยสูงแต่กลับมีความเท่าเทียมทางเพศต่ำ ซึ่งต่างจากประเทศที่มีความเป็นประชาธิปไตยสูงอื่น ๆ โดยเฉพาะในยุโรปและสแกนดิเนเวียที่ความเท่าเทียมทางเพศเติบโตสอดคล้องกับความเข้มแข็งของประชาธิปไตย ดังนั้น บทความนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่อศึกษาและแสดงสาเหตุที่ส่งผลให้ความเท่าเทียมทางเพศระหว่างชายและหญิงของประเทศเกาหลีใต้มีการเติบโตที่ไม่สอดคล้องไปกับการพัฒนาทางเศรษฐกิจและความเป็นประชาธิปไตยภายในประเทศ 
หากจะพิจารณาสภาพความเป็นมาเป็นไปของสังคมหนึ่ง ๆ นั้น แน่นอนว่าย่อมเกิดจากหลากหลายปัจจัยที่หลอมรวมกันมาตั้งแต่ในอดีต แล้วฝังรากตกทอดเป็นมรดกมาจนถึงปัจจุบัน ดังนั้น เพื่อให้สามารถทำความเข้าใจในประเด็นทางเพศของเกาหลีใต้ได้อย่างครอบคลุม จึงจำเป็นต้องพิจารณาทั้งมุมมองทางด้านวัฒนธรรมความเชื่อ บทบาทของรัฐบาลที่เกี่ยวข้อง ไปจนถึงลักษณะของระบบเศรษฐกิจ

“ขงจื๊อ” ความเชื่อเพื่อความสงบสุขที่นำไปสู่ความเหลื่อมล้ำ?
“สังคมเกาหลีเป็นสังคมที่น่าสนใจ เพราะมีความเป็น multi society system คือ ในมุมการเมืองมีความเป็นประชาธิปไตยสูง ในมุมความเท่าเทียมเนี่ย คุณเป็นประธานาธิปบดีคุณทำผิด คุณก็ติดคุก แต่ขณะเดียวกันนั้น สังคมเกาหลีก็ยังเป็นสังคมที่มีลำดับขั้นภายในบ้านอยู่ดีซึ่งเกิดจากแนวคิดขงจื๊อที่มีการแบ่งบทบาทหน้าที่ของคนในสังคม เพราะฉะนั้น ถึงแม้ว่าในสังคมเกาหลีจะมีประชาธิปไตยที่เข้มแข็งมาก แต่มันก็ยังมีพื้นที่ที่พลังทางการเมืองยังคงไม่สามารถแทรกเข้าไปได้ ซึ่งก็คือพื้นที่ทางวัฒนธรรม และพื้นที่ทางวัฒนธรรมที่ว่านี้ก็เรียกได้ว่าเป็นกำแพงที่มีความแข็งแกร่งมากเช่นกัน ซึ่งกำแพงที่ว่าก็คือแนวคิดขงจื๊อนั่นเอง” อ.ดร. ถาปกรณ์ กำเนิดศิริ (สัมภาษณ์, 23 กุมภาพันธ์ 2566)
 คำกล่าวข้างต้นจากการสัมภาษณ์ข้างต้นในประเด็นเกี่ยวกับความเชื่อและการเมืองในเกาหลีใต้ สะท้อนให้เห็นว่า ความเท่าเทียมในมิติทางการเมืองของเกาหลีใต้มีความเด่นชัดมาก เช่น ผู้ชายทุกคนต้องเกณฑ์ทหารไม่ว่าจะเป็นดาราหรือคนมีชื่อเสียงก็ตาม และผู้คนเมื่อทำผิดต้องได้รับโทษไม่เว้นแม้แต่ประธานาธิบดีอย่างกรณีของอดีตประธานาธิบดี พัค กึนฮเย ที่ถูกศาลเกาหลีใต้ตัดสินจำคุก 24 ปี จากความผิด 16 ข้อหาที่เกี่ยวกับการทุจริต (BBC News ไทย, 2561) เป็นต้น ในขณะเดียวกัน “แนวคิดขงจื๊อ” กลับเป็นกรอบความคิดในมิติทางสังคมที่แข็งแกร่งซึ่งมีอิทธิพลต่อความเชื่อและการดำเนินชีวิตของผู้คนภายในประเทศเป็นอย่างมาก
 เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว เราจึงต้องทำความเข้าใจในแนวคิดขงจื๊อเสียก่อน ว่าแนวคิดนี้เกิดขึ้นเกิดขึ้นในช่วงที่สังคมจีนมีความวุ่นวาย เป้าหมายของขงจื้อจึงมุ่งเน้นไปที่การทำให้สังคมเกิด “ความสงบสุข” โดยสังคมจะสงบสุขได้ก็ต่อเมื่อผู้คนในสังคมมีคุณธรรมประจำตัว อันได้แก่ “เหริน” ซึ่งหมายถึงการปฏิบัติตนอย่างมีมนุษยธรรมต่อผู้อื่น และ “หลี่” คือการปฏิบัติตามขนบธรรมเนียมจารีตและประเพณี และเมื่อใดที่ผู้คนประพฤติปฏิบัติไปตามแบบแผนที่ควรจะเป็น เมื่อนั้นก็จะนำมาซึ่งความสงบสุขภายในสังคมในที่สุด (Tudor, 2565, น. 69-71) หนึ่งในแนวคิดของขงจื๊อที่ถูกใช้เป็นธรรมเนียมแบบแผนสำคัญซึ่งว่าด้วยการปฏิบัติต่อผู้อื่นในสังคม คือ คู่ความสัมพันธ์หลักทั้ง 5 คู่ ได้แก่ 1) ผู้ปกครอง-ผู้ใต้ปกครอง 2) พ่อ-ลูก 3) ผู้อวุโส-ผู้น้อย 4) สามี-ภรรยา และ 5) เพื่อนที่มีสถานะเท่ากัน โดยผู้ที่อยู่ลำดับหน้าจะมีสถานะสูงกว่าลำดับหลัง ดังนั้น เมื่อผู้คนเรียนรู้บทบาทหน้าที่ของตนเองและปฏิบัติตามสถานะของตนได้อย่างเหมาะสมแล้ว ความสงบสุขในสังคมก็จะเป็นสิ่งที่ตามมาโดยปริยาย 
เมื่อพิจารณาตามหลักแนวคิดของขงจื๊อแล้ว บทบาทหน้าที่ในอุดมคติของผู้หญิงคือการเลี้ยงดูและอบรมสั่งสอนลูกเพื่อให้ลูกเติบโตมาเป็นคนดีของสังคม เมื่อคนในสังคมเป็นคนดีมีคุณธรรมแล้ว สังคมก็จะเกิดความสงบสุข เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงเป็นเหตุผลให้ผู้หญิงไม่ควรออกไปยุ่งกับเรื่องนอกบ้านซึ่งหมายถึงทั้งการออกไปทำงานและการมีส่วนร่วมทางการเมือง เนื่องจากหากผู้หญิงเลือกที่จะไปยุ่งกับเรื่องนอกบ้านแล้ว ก็จะส่งผลให้เรื่องในบ้านอย่างการเลี้ยงดูและอบรมบุตรถูกละเลยได้ กล่าวได้ว่าบทบาทหน้าที่ของผู้หญิงในระบบเศรษฐกิจตามแนวคิดขงจื๊อคืองานประเภทที่ไม่ได้รับค่าจ้างหรือ Unpaid Work เช่น งานบ้าน นั่นเอง ซึ่งแนวคิดเหล่านี้ก็เป็นแนวคิดที่ฝังรากลึกอยู่ในวิธีคิดจนกลายเป็นวิถีแห่งการดำเนินชีวิตที่แบ่งบทบาทหน้าที่ระหว่างผู้ชายและผู้หญิงเกาหลีไปโดยปริยายมาจนถึงปัจจุบัน

รัฐบาลเกาหลีใต้ กับการส่งเสริมนโยบายด้านการเลี้ยงดูบุตรเพื่อแรงงานหญิง
 จากการศึกษาบทความ A Confucian War Over Childcare? Practice and Policy in Childcare and Their Implication for Understanding the Korean Gender Regime โดย Sook-yeon Won และ Gillian Pascall (2004) ผู้เขียนว่าเกาหลีใต้เองก็มีนโยบายที่สนับสนุนช่วยเหลือแรงงานหญิงอยู่บ้าง เช่น การออกกฎหมาย The Gender Equal Employment Act และ The Infant Care Act เพื่อช่วยเหลือด้านการเลี้ยงดูบุตรโดยตรงและสนับสนุนให้เกิดความเท่าเทียมทางเพศระหว่างแรงงานชายหญิง ตลอดจนรัฐบาลมีการช่วยเหลือภาคเอกชนในด้านนี้ด้วย เช่น การให้เงินกู้ระยะยาวกับสถานรับเลี้ยงเด็ก เป็นต้น เมื่อพิจารณาถึงตรงนี้ ก็ดูเหมือนว่าทางรัฐบาลเกาหลีใต้ได้มีการส่งเสริมและช่วยเหลือให้แรงงานหญิงมีโอกาสเข้าร่วมในตลาดแรงงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น 
แต่ในความเป็นจริงแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นกลับไม่ได้เป็นการส่งเสริมและช่วยเหลือแรงงานหญิงเท่าที่ควร เนื่องจากใน The Gender Equal Employment Act และ The Infant Care Act มีข้อกำหนดให้ “นายจ้างต้องสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกหรือพื้นที่สำหรับเลี้ยงเด็กในที่ทำงาน หากมีลูกจ้างผู้หญิงมากกว่า 300 คน” ซึ่งจะเห็นได้ว่ากฎหมายนี้รองรับเฉพาะกับบริษัทขนาดใหญ่ แต่ในทางปฏิบัติ ผู้หญิงมักทำงานในบริษัทขนาดเล็กที่มีลูกจ้างไม่ถึง 300 คนมากกว่าทำงานในบริษัทใหญ่ สถานการณ์เช่นนี้จึงทำให้นโยบายนี้ไม่ได้ถูกนำมาปฏิบัติจริงเท่าไรนัก และสถานรับเลี้ยงเด็กของรัฐเองก็ไม่ได้มีคุณภาพเท่าที่ควร โดยจากการสัมภาษณ์คุณแม่ชาวเกาหลีหลายท่าน พบว่า สถานรับเลี้ยงเด็กของรัฐบาลนั้น มีเจ้าหน้าที่น้อย สกปรก เสียงดังและมีเด็กเป็นจำนวนมาก เงื่อนไขข้างต้นบีบให้คุณแม่หลายท่านจำเป็นต้องหันไปเลือกทางที่มีต้นทุนสูงกว่าเพื่อให้ลูกได้อยู่อย่างสบายและมีคุณภาพมากขึ้น เช่น การนำลูกไปฝากไว้กับพี่สะไภ้หรือแม่สามี เป็นต้น (Won and Pascall, 2004)  
โดยสรุปแล้ว รัฐบาลเกาหลีนั้นมีนโยบายที่สนับสนุนด้านการเลี้ยงดูบุตรอยู่ แต่อาจยังไม่สามารถกล่าวได้อย่างเต็มปากนักว่านโยบายเหล่านี้มีประสิทธิภาพในการปฏิบัติจริงอันจะนำไปสู่ความเท่าเทียมในตลาดแรงงานและสังคมได้

ระบบเศรฐกิจที่แข่งขันกันอย่างหนักหน่วง จนผู้หญิงแข่งด้วยแทบไม่ไหว
ข้อมูลอัตราการเข้าสู่ตลาดแรงงานของผู้หญิงเกาหลีในแต่ละช่วงวัย พบว่ามีลักษณะเป็น M-shape curve คือ มีจุดพีคแรก ที่ช่วงวัย 20-24 ปี สะท้อนการเข้าสู่ตลาดแรงงานที่สูงเพราะเป็นช่วงก่อนแต่งงาน-มีลูก และหลังจากช่วงนี้ไปจำนวนแรงงานหญิงในตลาดจะลดลงมาก แล้วค่อย ๆ เพิ่มขึ้นเป็นจุดพีคที่สองประมาณช่วงอายุ 40-49 ปี (Wong and Pascall 2004) ดังภาพประกอบที่ 1


ในขณะที่อัตราการเข้าสู่ตลาดแรงงานของผู้ชายเกาหลีมีลักษณะเป็น inverted U-shape curve คือตัวยูคว่ำ ที่จะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นตามช่วงวัย แล้วลดลงในช่วงอายุ 50 ปี ดังภาพประกอบที่ 2


เมื่อเทียบกันแล้ว ผู้ชายมีอัตราการเข้าสู่ตลาดแรงงานที่สูงกว่าและต่อเนื่องกว่าผู้หญิง ปรากฏการณ์นี้สะท้อนให้เห็นว่ามีลำดับขั้นเกิดขึ้นในกิจกรรมทางเศรษฐกิจ โดยผู้ชายจะได้เงินมากกว่าผู้หญิงนั่นเอง และการที่ผู้หญิงมีความไม่ต่อเนื่องในการเข้าร่วมตลาดแรงงาน (ความไม่ต่อเนื่องในการทำงาน) นั้นก็เป็นผลมาจากการที่ผู้หญิงต้องเผชิญกับการแต่งงาน ตั้งครรภ์ การคลอด ตลอดจนการเลี้ยงดูบุตร ซึ่งภาระหน้าที่จากการแต่งงานและมีบุตรของผู้หญิงนั้น ส่งผลกระทบต่อโอกาสการทำงานในตลาดแรงงานเป็นอย่างมากเพราะการที่ผู้หญิงจำเป็นต้องออกจากงานมาเพื่อเลี้ยงดูบุตร ท่ามกลางระบบเศรษฐกิจของเกาหลีใต้ที่มีการแข่งขันสูงมากนั้น เงื่อนไขเช่นนี้จึงก่อให้เกิดความยากลำบากแก่ผู้หญิงเหล่านี้ที่จะได้รับโอกาสในการกลับเข้าไปทำงานอีกครั้ง ดังนั้นแล้ว หากผู้หญิงเกาหลีใต้ต้องการที่จะกลับไปทำงาน จึงมักได้รับเป็นงานประเภท Part-time แทน ส่งผลให้ช่องว่างของระดับรายได้ระหว่างเพศหญิงและชายสูงขึ้นด้วยนั่นเอง (Won and Pascall, 2004)

สรุปแล้ว... สิ่งใดทำให้ความเท่าเทียมทางเพศในเกาหลีใต้เติบโตช้ากว่ามิติอื่น ๆ
 ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการเติบโตของประเด็นความเท่าเทียมภายในประเทศเกาหลีใต้หลัก ๆ คือ แนวคิดความเชื่อแบบขงจื๊ออันเกี่ยวกับการปฏิบัติตามหน้าที่ของตนอย่างเป็นลำดับขั้นเพื่อความสงบสุขในสังคมนั้น นำไปสู่การแบ่งงานกันทำระหว่างเพศชายและหญิง (Gender Division of Labor) ในตลาดแรงงาน อีกทั้ง นโยบายสนับสนุนแรงงานหญิงที่ออกโดยรัฐบาลก็ยังไม่สามารถช่วยเหลือและสนับสนุนการทำงานของแรงงานหญิงได้อย่างมีประสิทธิภาพมากนัก จึงทำให้แรงงานหญิงเกาหลีใต้ยังคงต้องเผชิญกับความไม่เท่าเทียมทางเพศภายในสังคม ในอีกนัยหนึ่ง ผู้หญิงเกาหลีใต้ต้องเผชิญทั้งความกดดันของการเป็นแม่ การเป็นภรรยา การเป็นลูกสะไภ้ และการเป็นแรงงานที่ดี ในขณะที่ผู้ชายสามารถมุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่การเป็นแรงงานคุณภาพอย่างเดียวก็เพียงพอแล้วสำหรับในสังคมเกาหลีใต้...

บรรณานุกรม

    • The Economist Intelligence Unit Limited. (2023). Democracy Index 2022 Frontline democracy and the battle for Ukraine. สืบค้นจาก https://www.protagon.gr/wp-content/uploads/2023/02/Democracy-Index-2022-final.pdf 
    • World Economic Forum. (2022). Global Gender Gap Report 2022. สืบค้นจาก https://www3.weforum.org/docs/WEF_GGGR_2022.pdf 
    • Won, Sook-yeon, & Pascall, Gillian. (2004). A Confucian War Over Childcare? Practice and Policy in Childcare and Their Implication for Understanding the Korean Gender Regime.
    • ทิวดอร์, แดเนียล. (2565). Korea: The Impossible Country, Revised and Expanded [มหัศจรรย์เกาหลี: จากเถ้าถ่านสู่มหาอำนาจทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรม]. (พิมพ์ครั้งที่ 2). บุ๊คสเคป.
    พิมพกานต์ โอวาสิทธิ์
    นัก(เคย)ศึกษาคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้หลงรักในการเขียนและหลงใหลไปกับการไล่ตามความฝัน