นโยบายสวัสดิการผู้สูงอายุกับการขับเคลื่อนทางการเมืองที่ยั่งยืน

2732 views
ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่การเป็นสังคมสูงอายุระดับสุดยอด ที่มีประชากรอายุ 60-65 ปีขึ้นไปมากกว่าร้อยละ 20 ของประชากรทั้งหมดในประเทศ  ในขณะที่ประเทศไทยเป็นประเทศรายได้ปานกลางระดับสูง แต่เกิน 1 ใน 3 ของผู้สูงอายุยังมีฐานะยากจน และมากกว่าร้อยละ 40 มีเงินออมต่ำกว่า 5 หมื่นบาท ประกอบกับสัดส่วนคนวัยทำงานที่ลดน้อยลง ทำให้ประชาชนวัยทำงานมีภาระค่าใช้จ่ายในการดูแลผู้สูงอายุที่สูงมากขึ้น 

สำหรับประเทศไทย ถ้าเราพูดถึงเรื่องสวัสดิการผู้สูงอายุเมื่อ 20 กว่าปีก่อนหน้านี้ ในช่วงที่มากกว่าร้อยละ 60 ของคนทำงานยังมีอายุน้อย  ในช่วงนั้นคนทำงานส่วนใหญ่อาจจะมีแนวโน้มที่จะยังมองไม่เห็นถึงคุณประโยชน์ในเรื่องสวัสดิการสำหรับผู้สูงอายุมากเท่าที่ควร เพราะอาจจะมองแต่เฉพาะส่วนที่จะต้องเสีย ซึ่งเป็นเรื่องใกล้ตัวในขณะนั้น (เช่น อาจจะต้องเสียภาษีในอัตราที่สูงขึ้น หรือถูกลดทอนสวัสดิการด้านอื่นเหลือน้อยลง) และมองว่าส่วนผลประโยชน์ที่จะได้ยังเป็นเรื่องไกลตัว  

แต่ในปัจจุบัน สถานการณ์ได้เปลี่ยนไปจาก 20 กว่าปีก่อน ด้วยโครงสร้างประชากรที่มีคนใกล้จะเกษียณมากขึ้น มีสัดส่วนมากกว่าครึ่งของคนทำงานทั้งหมด จึงมีแนวโน้มที่สูงกว่าเมื่อ 20 กว่าปีที่แล้วที่สังคมจะหันมาเห็นพ้องต้องกันว่า สวัสดิการผู้สูงอายุเป็นสิทธิพึงได้ของประชาชน ไม่ใช่เป็นการสงเคราะห์ ซึ่งกระแสปัจจุบันในเรื่องนี้ได้สะท้อนออกมาอย่างเด่นชัดจากปรากฏการณ์ที่หลายพรรคการเมืองชูความสำคัญในการนำเสนอแนวนโยบายสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุให้เป็นหนึ่งในนโยบายลำดับต้น  

ก่อนอื่น คงต้องย้อนกลับไปพิจารณาว่า เรามีวัตถุประสงค์สำคัญร่วมกัน คือการทำอย่างไรให้ประชาชนสูงวัยมีคุณภาพชีวิตที่เหมาะสมอย่างยั่งยืน และเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าว มีอย่างน้อยสองเงื่อนไขที่จะขาดมิได้คือ: (1) นโยบายต้องทำได้จริง ตามขีดความสามารถของประเทศ และ (2) ประชาชนต้องรับทราบความจริงว่าจะได้อะไร และจะเสียอะไร และยอมรับนโยบายนั้น

ในส่วนของนโยบายต่าง ๆ ที่แต่ละพรรคการเมืองได้นำเสนอเกี่ยวกับสวัสดิการผู้สูงอายุ  สามารถแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม คือ (1) กลุ่มนโยบายการเพิ่มรายได้ของผู้สูงอายุ เช่น เบี้ยหรือบำนาญผู้สูงอายุ การออมระยะยาว การพัฒนาผลิตภาพประชากร ฯลฯ และ (2) กลุ่มนโยบายการลดค่าใช้จ่ายของผู้สูงอายุ เช่น เงินอุดหนุนและบริการสังคมที่จำเป็นจากภาครัฐ การเข้าถึงหลักประกันสุขภาพ การดูแลระยะยาว (Long-term care) และ การดูแลโดยครอบครัว ชุมชน และท้องถิ่น ฯลฯ 

หากจะกล่าวถึงนโยบายบำนาญผู้สูงอายุอันเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มนโยบายการเพิ่มรายได้ของผู้สูงอายุ ซึ่งก็มีคำถามตามมาคือเท่าไรถึงจะพอ ในการนี้ เราจำเป็นต้องพิจารณานโยบายในภาพรวมแบบบูรณาการ คือทั้งฝั่งนโยบายการเพิ่มรายได้ และนโยบายการลดค่าใช้จ่ายของผู้สูงอายุทั้งหมด ว่าสุทธิแล้ว เพียงพอหรือไม่  โดยเลือกนโยบายที่มีต้นทุนที่เหมาะสมตามขีดความสามารถของประเทศและประชาชนยอมรับได้

ทีนี้ ก็ต้องมาดูเรื่องขีดความสามารถของประเทศว่า เราจะหารายได้จากที่ไหนมาสนับสนุน มีข้อถกเถียงเรื่องการขึ้นภาษีต่าง ๆ ซึ่งนำมาถึงจุดที่ผู้เขียนเน้นย้ำว่าสำคัญที่สุด คือประชาชนจะต้องได้รับทราบความจริงและยอมรับว่าจะได้อะไร และจะเสียอะไร เพราะไม่มีอะไรในโลกนี้ที่ได้มาฟรี โดยในส่วนที่จะต้องเสียอะไร มีการกล่าวถึงกันไม่ชัดเจนเท่ากับในฝั่งของการจะได้อะไร 

ในหลายๆประเทศ เช่น สวีเดน ฟินแลนด์ เป็นประเทศในฝันของหลายคนในเรื่องบำนาญผู้สูงอายุ  เป็นที่ทราบกันดีว่า ประชาชนได้รับสวัสดิการมาก แต่ก็ต้องจ่ายภาษีมากเช่นกัน  งบประมาณการใช้จ่ายในเรื่อง old-age cash pension ของประเทศ OECD มีค่าเฉลี่ยประมาณร้อยละ 6-8 ของ GDP หรือประมาณ ร้อยละ18-20 ของรายจ่ายรัฐบาล  (ในขณะที่ของประเทศไทยอยู่ที่ประมาณร้อยละ 0.5 ของ GDP หรือ ประมาณร้อยละ 2 ของรายจ่ายรัฐบาล)  รูปแบบดังกล่าวเป็นทางเลือกของประชาชนเองซึ่งยอมรับทั้งในฝั่งที่จะได้อะไรและจะเสียอะไร ซึ่งส่งสัญญาณผ่านกระบวนการทางเมืองที่เลือกผู้แทนมาทำหน้าที่บริหารประเทศได้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน

แต่ในทางกลับกัน อย่างเช่น เมื่อเร็วๆนี้ ในประเทศฝรั่งเศส มีการออกนโยบายด้านผู้สูงอายุ ซึ่งประชาชนไม่ได้สนับสนุน ก็เกิดการประท้วง การดำเนินนโบายไม่ราบรื่น ดังนั้น ทางเลือกใดก็ตาม หากทำได้จริงภายใต้ขีดความสามารถของประเทศ โดยประชาชนรับทราบความจริงและยอมรับ นโยบายก็สามารถดำเนินการได้อย่างราบรื่น

ย้อนกลับมาดูประเทศไทย ในการแถลงนโยบายการใช้จ่ายของแต่ละพรรคการเมืองในทุกเรื่อง ได้มีการกล่าวถึงแหล่งที่มาของเงินงบประมาณจากแหล่งเดียวกันหมด คือ (1) เพิ่มภาษี (2) ลดรายจ่าย หรือ (3) เพิ่มหนี้สาธารณะ หากทุกนโยบายจะใช้เงินในถังเดียวกันตรงนี้ที่มีอยู่จำกัด แล้วจะเหลืองบประมาณสำหรับนโยบายสวัสดิการผู้สูงอายุได้มากน้อยเพียงใด เราจึงจำเป็นต้องพิจารณาเรื่องต้นทุนที่เหมาะสมที่สุดด้วย

หากพิจารณาแบบบูรณาการ จะพบว่านโยบายแต่ละชุดย่อมมีต้นทุนที่แตกต่างกัน และในส่วนของนโยบายเพิ่มรายได้ ก็ไม่ใช่มีแต่เฉพาะการแจกเงินเสมอไป อาจจะมีนโยบายอื่นๆ เช่น การเพิ่มศักยภาพทำงานและเพิ่มทางเลือกการทำงานหลังเกษียณที่เป็นการเปิดช่องทางให้ผู้สูงวัยสามารถเลือกทำงานได้มากขึ้นตามที่มีการกล่าวถึงกันบ้าง โดยผู้สูงอายุที่มีศักยภาพที่จะมีทางเลือกการทำงานเพิ่มรายได้และมีส่วนร่วมในการเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับประเทศอีกมากพอสมควร สามารถช่วยให้รัฐบาลใช้งบประมาณต่ำลงในการเพิ่มรายได้ของผู้สูงอายุ ดังนั้น หากพิจารณาทุกมาตรการในภาพรวมอย่างครอบคลุม แล้วกลับมาดูในส่วนของบำนาญผู้สูงอายุในระดับที่เพียงพอก็อาจจะใช้งบสนับสนุนที่ลดน้อยลงกว่าที่คาดการณ์ไว้ก็ได้

นอกจากนี้ การกล่าวถึงผลทวีคูณทางเศรษฐกิจ (multiplier effect) จากนโยบายการใช้จ่ายของภาครัฐที่คาดว่าจะก่อให้เกิดรายได้ขยายวงมากขึ้นในระบบเศรษฐกิจและกระตุ้นการเติบโตของ GDP ประเด็นที่พึงระวังคือในบางสถานการณ์ เช่น กรณีที่มีความไม่แน่นอนสูง การจับจ่ายใช้สอยในระบบเศรษฐกิจอาจจะไม่เป็นดังเช่นผลทวีคูณที่คาดการณ์ไว้เสมอไป ประชาชนพึงควรรับทราบถึงต้นทุนที่แท้จริงและความไม่แน่นอนในการได้รับผลประโยชน์จากนโยบายเหล่านี้ด้วย

สุดท้ายนี้ เพื่อให้นโยบายประสบความสำเร็จและยั่งยืน ฝ่ายการเมืองต้องทำงานใกล้ชิดกับฝ่ายราชการผู้เข้าใจถึงปัญหาเชิงปฏิบัติ นักวิชาการในเชิงหลักการที่ถูกต้อง และที่สำคัญที่สุดคือประชาชน ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียโดยตรง เพื่อผลักดันให้นโยบายออกมาอย่างเป็นรูปธรรม
เอื้อมพร พิชัยสนิธ
ศาสตราจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์