EAT THE RICH อักษรสีขาวขนาดใหญ่เห็นได้จากระยะไกลบนพื้นเส้นทางวิ่งริมแม่น้ำ Charles บริเวณหน้าทางเข้า Harvard Business School บนเส้นวิ่งประจำของผู้เขียนเมื่อครั้งเป็นนักวิจัยแลกเปลี่ยน (Research Fellow) สมัยพำนักอยู่อีกฝั่งตรงข้ามแม่น้ำที่อพาร์ทเมนท์ Peabody Terrace ที่มีสนามบาสเก็ตบอลขนาด 2 สนามมีรั้วสูงและไฟสว่างพร้อมติดอาคารที่พัก และมีพื้นที่สำหรับกิจกรรมกีฬาครอบครัวเด็กเล็กรวมกันเป็นสวนสาธารณะขนาดย่อมจากการบริจาคเพื่อสาธารณะโดยมหาเศรษฐี รอบอพาร์ทเมนท์เรียงรายด้วยหอพักมหาวิทยาลัยสำหรับนักศึกษาปริญญาตรี (Harvard Houses) ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีเดินถึง King Bhumibol Adulyadej Birthplace Monument และ Harvard Square ณ เมือง Boston, MA น่าสนใจว่า บอสตันเป็นเมืองที่มีรถไฟใต้ดินเก่าแก่แต่ราคาถูกกว่าประเทศไทย สามารถเชื่อมโยงได้ทั้งระบบรางและรถด้วยบัตรใบเดียว อีกทั้งบอสตันมีการโหวตงบลงทุน คิดเป็น 10% ของงบทั้งหมด เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้คนในเมือง ดังนั้น ผู้เขียนในฐานะที่มีสัญญาเช่าอพาร์ทเมนท์ด้วยวีซ่าพำนักอาศัยชั่วคราวและได้ร่วมจ่ายภาษีให้กับเมือง จึงสามารถร่วมโหวตเลือกพัฒนาโครงการ ในทางตรงกันข้าม บอสตันเป็นเมืองที่ติดอันดับความเหลื่อมล้ำสูงสุดในประเทศ โดยเราทราบกันว่าความยากจนและปัญหาสังคมของคนไร้บ้านในอเมริกามีสภาพเป็นอย่างไร
EAT THE RICH สะท้อนเสียงตะโกนเรียกร้องความเป็นธรรมระหว่างทั้งสังคม และ กลุ่มรวยสุด 1% น่าจะเป็นปรากฏการณ์เกิดขึ้นทั่วโลกจากผลของระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมที่มุ่งทำกำไรสูงสุด แต่ความมั่งคั่งไปกระจุกตัวอยู่บนยอดปิรามิด
ในทำนองเดียวกัน 共同富裕 หรือ ความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน (Common Prosperity) คือ เป้าหมายนโยบายมุ่งสู่ปี 2035 ของจีน หลังจากประสบความสำเร็จอย่างงดงามในการขจัดปัญหาความยากจน โดยส่วนหนึ่งจะผลักดันนโยบายจัดเก็บภาษีความมั่งคั่งลดความเหลื่อมล้ำภายในประเทศ เพื่อสังคมที่ปรองดองสมานฉันท์ในระยะยาว และเป็นการพัฒนาคุณภาพระดับสูง
แม้ในอเมริกาเอง รัฐบาลไบเดนได้นำเสนอนโยบายเพื่อแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำ เพราะคนระดับกลางหรือคนส่วนใหญ่ไม่สามารถสร้างฐานะได้เหมือนคนรุ่นก่อนหน้า ในขณะที่กลุ่มรวยสุด 1% ของอเมริกากอบโกยประโยชน์ทางเศรษฐกิจ คิดเป็น 21% ของ GDP ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 10% ของ GDP เมื่อปี 1979 ยิ่งกว่านั้น คนรวยมีช่องทางหลบเลี่ยงภาษีได้มากกว่า เช่น มหาเศรษฐี 25 อันดับแรก จ่ายอัตราภาษี (effective tax rate) เพียง 3.4% ของความมั่งคั่งที่สะสมเพิ่มขึ้น
Chief Economist หญิงคนแรกขององค์กรการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF คือ Professor Gita Gopinath จาก Harvard University จึงมีคำกล่าวที่ว่า "เส้นทางที่โลกจะมุ่งไป ควรลดความเหลื่อมล้ำ โดยมีระบบถ้วนหน้าด้านการศึกษา สาธารณสุข และ ความคุ้มครองทางสังคม" เมื่อปี 2020 สมัยโลกกำลังเผชิญวิกฤตที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
ในขณะที่ World Bank และ IMF ได้จัดสัมมนาประจำปี 2021 เรื่อง Taxation of the Wealthy in Developing Countries เพื่อมุ่งแก้ปัญหาความร่ำรวยสุดขั้วที่กระจุกอยู่บนยอดปิรามิด อันเป็นปัญหาร่วมที่รุนแรงมากขึ้นในหลายประเทศกำลังพัฒนา เพราะคนรวยสุด 10% ทั่วโลก ถือครองความมั่งคั่งในประเทศเฉลี่ย 60-80% แต่คนฐานะ 50% ล่างของสังคม ถือครองเพียงแค่ 5% ของความมั่งคั่ง ตลอดจนปัญหาประเทศที่สามารถโยกเงินลงทุนเพื่อเลี่ยงภาษี (tax havens) โดยเป้าหมายประการหนึ่งของการสัมมนา คือ การแสวงหาแนวทางเก็บภาษีความมั่งคั่งจากการลงทุนข้ามชาติ
เราก็เป็นอีกประเทศที่เผชิญความเหลื่อมล้ำไม่แพ้ใครในโลก เพราะไทยติดอันดับ 10 ประเทศที่มีมหาเศรษฐีจำนวนมากสุด สามารถอยู่บนรายชื่อเดียวกับหลายประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจโลก, ประเทศประชากรล้นหลามอย่างจีนและอินเดีย หรือ ประเทศที่มีการคอร์รัปชั่นสูงและภาษีคนรวยต่ำ เช่น รัสเซีย
อภิมหาเศรษฐีไทยรวยที่สุด 50 ตระกูล ส่วนมากสะสมความมั่งคั่งด้วยสัมปทานผูกขาดหรืออำนาจเหนือตลาด มีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 20-30% ต่อปี หรือ ความมั่งคั่งเพิ่มขึ้น 6-8 เท่าภายใน 1 ทศวรรษ ทำให้แค่ 50 ตระกูล มีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นรวมกันจาก 1 ใน 10 ของ GDP เป็น 1 ใน 3 ของ GDP ยิ่งกว่านั้น เศรษฐีอันดับหนึ่งมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นเพียงปีเดียวเกือบ 1 แสนล้านบาท ในปีแรกของโควิด คือ พ.ศ. 2563
ในทางตรงกันข้าม คนไทยจำนวนมากมีชีวิตยากลำบาก เพราะหากเรามองสำรวจจากยอดปิรามิดลงมา โดยเรียงตามเศรษฐฐานะครัวเรือน ข้อมูลสำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือนปี 2564 ของสำนักงานสถิติแห่งชาติแสดงให้เห็นว่า ช่วงตรงกลางของสังคมไทย หรือ “มัธยฐาน” มีมาตรฐานการดำรงชีพ วัดจากค่าใช้จ่ายครัวเรือนรวมเฉลี่ย เพียงแค่ 6,000 บาท/คน/เดือน หรือ 200 บาท/คน/วัน จึงน่าจะสะท้อนความลำบากยากเข็ญของคนไทยจำนวนมาก
เมื่อมองเหลียวไปข้างหลังช่วง 3 ทศวรรษที่ผ่านมา เราจะเห็นได้ว่า ช่องว่างความมั่งคั่งระหว่างคนรวยสุดและคนส่วนใหญ่ในประเทศ ยิ่งขยายกว้างขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กลุ่มคนจนสุด 40% แทบจะไม่ได้มีโอกาสลืมตาอ้าปาก แม้จะมีชีวิตที่ดีขึ้นกว่าเมื่อ 30 กว่าปีก่อน แต่เมื่อพิจารณาตัวเลขในปี 2564 กลุ่มคนจนสุด 40% มีรายได้ครัวเรือนรวมเฉลี่ยเพียง 4 พันบาท/คน/เดือน หรือ กลุ่มคนจนสุด 10% เพียง 2.3 พันบาท/คน/เดือน ในขณะที่ชนชั้นกลางที่ฐานะค่อนข้างดี ความจริงน่าจะมีฐานะอยู่บริเวณด้านบนระดับสูง มีค่าใช้จ่ายครัวเรือน ณ เปอร์เซนไทล์ที่ 99 (99th percentile) เฉลี่ยต่อหัว ประมาณ 30,000 บาท/เดือน จึงควรไตร่ตรองว่าจะให้สังคมไทยอยู่กันอย่างไรต่อไป และ เราอยากจะส่งต่ออนาคตแบบใดให้คนรุ่นลูกหลาน?
Do you hear the people sing? ประชาชนกำลังอดอยาก ตั้งแต่หลังรัฐประหารก่อนวิกฤตโควิดที่ธุรกิจค้าขายซบเซา จากนั้นเราก็เผชิญวิกฤตโควิดและปัญหาเงินเฟ้อจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน ยิ่งทำให้คนไทยสร้างอนาคตลำบาก รายได้โตไม่ทันค่าครองชีพ ข้าวยากหมากแพง และธุรกิจจำนวนมากจำต้องปิดตัวลง
ในขณะที่เรากำลังเผชิญตัวเร่งปฏิกิริยาไปสู่วิกฤตเศรษฐกิจสังคมผู้สูงอายุ เพราะความท้าทายจากภัยคุกคามแห่งยุคสมัย เช่น หุ่นยนต์และปัญญาประดิษฐ์ (AI & Robots) และ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ที่ประเทศไทยมีโอกาสได้รับผลกระทบรุนแรงมาก หากไม่ได้เตรียมพร้อมให้มีความสามารถในการปรับตัวต่อภัยคุกคามได้
ด้วยโครงสร้างประชากรที่ผู้สูงอายุไทยกำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว สึนามิประชากรผู้สูงอายุ (Silver Tsunami) คือ ประชากรรุ่นเบบี้บูมเมอร์ เกิดปีละ 1 ล้านคน ติดต่อกัน 20 ปี ขณะนี้กำลังเริ่มเกษียณกันแล้ว แปลว่า ผู้สูงอายุกำลังเพิ่มขึ้นจำนวนมากในอีก 20 ปี ซึ่งตอนนั้นคาดว่าเราจะมีผู้สูงอายุ 65+ ปี ประมาณ 1 ใน 4 ของประชากร หรือ 60+ ปี ประมาณ 1 ใน 3 ของประชากร โดยประชากรวัยทำงานมีแนวโน้มลดลง
ในที่สุดแล้ว คนจนจะได้รับผลกระทบรุนแรงมากกว่า โดยเฉพาะกลุ่มประชากรเด็กและผู้สูงอายุ เป็นผลจากวัยแรงงานมีทักษะต่ำ ขาดความสามารถในการปรับตัว ทั้งด้านเทคโนโลยีและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ตลอดจนคนส่วนใหญ่มีระดับความคุ้มครองทางสังคม (social protection) ที่ค่อนข้างต่ำในการป้องกันความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ
ถึงแม้จะมีการสร้างวาทกรรมว่า ประเทศไทยมีคนจ่ายภาษีเพียง 4 ล้านคน ซึ่งเป็นความจริงเพียงส่วนหนึ่ง เพราะ 4 ล้านคน คือ จำนวนผู้จ่ายภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ในขณะที่ผู้มีรายได้ไม่เกิน 150,000 บาท จะได้รับการยกเว้นภาษี โดยมีผู้ยื่นภาษีเพียง 10 ล้านคน จากวัยแรงงาน 40 ล้านคน แน่นอนว่า เรามีปัญหาผู้มีรายได้ถึงเกณฑ์แต่รัฐไม่มีความสามารถจัดเก็บภาษี
แต่ทุกคนในสังคมล้วนร่วมจ่ายภาษีผ่านการบริโภคที่ครอบคลุมตั้งแต่ ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีการค้า ภาษีธุรกิจเฉพาะ อากรแสตมป์ ภาษีศุลกากร ภาษีน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน ภาษีเครื่องดื่ม ภาษีเครื่องใช้ไฟฟ้า ภาษีรถยนต์ ภาษีรถจักรยานยนต์ ภาษีแบตเตอรี่ ภาษีสุราและยาสูบ เป็นต้น
ในขณะเดียวกัน ประเทศไทยยังไม่ได้เก็บภาษีอย่างเต็มศักยภาพ ดังที่บริการสาธารณะและระบบรัฐสวัสดิการมีไม่เพียงพอและคุณภาพย่ำแย่ เพราะว่ารัฐมีงบประมาณจํากัด ซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากการจัดเก็บภาษีได้น้อย ทำให้ประเทศไทยมีรายได้จากการจัดเก็บภาษีคิดเป็นสัดส่วน GDP ที่ต่ำมากเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศที่พัฒนาแล้ว
ความน่ากังวล คือ รายได้จากภาษีมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่องจาก 17% ของ GDP ในปี 2556 เหลือ 16% ในปี 2557 และล่าสุด คือ 14% ในปี 2564 สาเหตุของการจัดเก็บภาษีได้น้อยมีหลายสาเหตุ นอกจากเศรษฐกิจซบเซาตั้งแต่ก่อนโควิด ก็ตามสภาพไม่ว่าจะเป็น อัตราภาษีที่ต่ำเกินไป การลดหย่อนภาษี และ การยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเพื่อส่งเสริมการลงทุน ตลอดจนการมีข้อยกเว้นทางภาษีต่างๆ
ผู้ที่ได้ประโยชน์มากที่สุด มักจะเป็นกลุ่มคนรวย เช่น ผู้ทำการลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษ และนิคมอุตสาหกรรม ได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล อากรขาเข้าและขาออก ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีสรรพสามิต หรือ ค่าธรรมเนียมต่างๆ แบบที่วิสาหกิจขนาดกลางและย่อม (SMEs) ไม่สามารถได้รับประโยชน์จากสิทธิ์การยกเว้นภาษีเหล่านี้ด้วย ในขณะที่มีงานวิจัยแสดงให้เห็นว่า ยังมีแรงจูงใจสำคัญอื่นที่มีความสำคัญต่อการตัดสินใจลงทุนของนักลงทุนต่างประเทศ ได้แก่ ความยากง่ายในการประกอบธุรกิจ กฎหมายและขั้นตอนที่ไม่ยุ่งยากซับซ้อน โครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจ และ ทักษะแรงงานที่สอดคล้องกับความต้องการ
ตัวอย่างที่ค่อนข้างทันสมัย เช่น Data Center ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานของเศรษฐกิจดิจิทัล หากเป็นนักลงทุนที่มีศักยภาพสร้าง Data Center ขนาดพื้นที่สำหรับให้บริการใหญ่กว่า 3,000 ตารางเมตร หรือ ประมาณครึ่งสนามฟุตบอล จะได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 8 ปี จึงเป็นแต้มต่อของนายทุนรายใหญ่ในการแข่งขันทางธุรกิจ
อีกตัวอย่างหนึ่ง คือ งานวิจัยเรื่อง “ปฏิรูปภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเพื่อสังคมเสมอหน้า” โดย ศ.ดร.ผาสุก พงษ์ไพจิตร คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แสดงให้เห็นว่า รายได้จากทรัพย์สินและการลงทุนของกลุ่มคนรวยที่สุด 1% (Top one percent) บางส่วนไม่ถูกรายงานในข้อมูลการยื่นแบบภาษี ดังนั้น การจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ไม่น่าที่จะครอบคลุมรายได้ทั้งหมดของกลุ่มคนรวยที่สุด 1% เราจึงมีคำถามพื้นฐาน คือ รายได้ส่วนไหนของคนกลุ่ม 1% ที่ไม่แสดงในระบบและหายไปอยู่ที่ไหน?
EAT THE RICH หรือ การเก็บภาษีความมั่งคั่งจากยอดปิรามิด แม้จะสามารถเป็นประโยชน์ทางสังคมและเศรษฐกิจ แต่ก็มีข้อควรพิจารณาบางประการ ดังนี้
1. ลดความไม่เสมอภาคด้านรายได้ เพราะรายได้จากค่าเช่า ดอกเบี้ย กำไร หรือ ผลตอบแทนจากหลักทรัพย์ จะเสียภาษีในอัตราเฉลี่ยที่ต่ำกว่ารายได้จากเงินเดือนและค่าตอบแทนจากการทำงาน ดังนั้น การเก็บภาษีคนรวยที่มีแหล่งรายได้นอกเหนือจากเงินเดือนและค่าตอบแทนจากการทำงาน จึงสามารถช่วยกระจายทรัพย์สินและแก้ไขความไม่เป็นธรรม ตามหลักการภาษีความเป็นธรรมตามแนวนอน (horizontal equity) เช่น มีรายได้จำนวนเท่ากัน ควรเสียภาษีในอัตราเดียวกัน
2. สามารถนำไปพัฒนาบริการสาธารณะ เพราะรายรับรัฐบาลจากภาษีความมั่งคั่ง สามารถเป็นแหล่งรายได้สำคัญ สามารถนำไปสนับสนุนบริการสาธารณะ เช่น การศึกษา สาธารณสุข การพัฒนาพื้นที่สาธารณะ โครงการสวัสดิการเพื่อความมั่นคงทางสังคม และการลงทุนในคุณภาพชีวิตด้านต่าง ๆ
3. เป็นไปตามหลักความยุติธรรมและความรับผิดชอบต่อสังคม เพราะคนรวยมีความสามารถในการจ่ายภาษีมากกว่าและควรมีส่วนร่วมในการจัดสรรสวัสดิการของสังคมมากขึ้น ตามหลักการภาษีความเป็นธรรมตามแนวดิ่ง (vertical equity) ที่ผู้รับผิดชอบต้องเสียภาษีตามโอกาสและความสามารถของตน
4. แก้ไขความล้มเหลวของตลาด (market failure) โดยการเก็บภาษีในพฤติกรรมหรือธุรกิจที่มีผลกระทบต่อสังคม เช่น ความไม่มีประสิทธิภาพของระบบเศรษฐกิจที่เกิดจากการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม รายใหญ่กินรวบ การกำหนดอัตราค่าบริการหรือค่าสาธารณูปโภคที่เอารัดเอาเปรียบสังคม ตลอดจนการสร้างมลภาวะหรือการถือครองที่ดินที่เกินจำเป็น รัฐบาลสามารถแก้ไขปัญหาเหล่านี้และสร้างรายได้เพื่อบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้นได้
ข้อคัดค้าน
1. การเก็บภาษีคนรวยในอัตราสูงอาจส่งผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจและการลงทุน เพราะขาดความกระตือรือร้นในการทำงานและการลงทุน
2. อัตราภาษีที่สูงเกินไปต่อคนรวยอาจส่งผลให้เกิดการโยกย้ายเงินทุนข้ามประเทศและการหลบหนีภาษี โดยถ่ายโอนบุคคลและธุรกิจไปยังต่างประเทศที่เสียภาษีในอัตราที่ต่ำ
3. การเสียภาษีซ้ำซ้อน เพราะบุคคลที่มีรายได้สูงบ่อยครั้งต้องเสียภาษีเงินได้จำนวนมากอยู่แล้ว และการเสียภาษีเพิ่มเติมต่อทรัพย์สิน อาจมองได้ว่าเป็นภาระที่ไม่เป็นธรรม
4. มีข้อคัดค้านการจัดเก็บภาษีความมั่งคั่งว่า ควรจะส่งเสริมความรับผิดชอบของปัจเจกบุคคลต่อความสำเร็จและการสะสมทรัพย์สินของตนเอง
การจัดสรรทรัพยากรและโอกาสอย่างเป็นธรรม เพื่อประโยชน์ทางเศรษฐกิจอย่างทั่วถึง
หลักการพื้นฐานทางภาษีและเศรษฐศาสตร์สาธารณะที่สำคัญประการหนึ่ง คือ ความเป็นธรรมในแนวดิ่ง (vertical equity) หมายถึง กลุ่มที่มีโอกาสเข้าถึงทรัพยากรและมีกำลังมากกว่า ควรจะเป็นผู้เสียภาษีมากกว่ากลุ่มที่มีโอกาสน้อยกว่า ซึ่งจะช่วยลดความเหลื่อมล้ำของการกระจายรายได้ และสามารถนำงบประมาณไปทำให้สังคมโดยรวมมีคุณภาพชีวิตดีขึ้น
ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย เคยกล่าวในปาฐกถาว่า อนาคตของเศรษฐกิจไทย จำเป็นต้องกระจายอย่างทั่วถึง (inclusive) ไม่ใช่เติบโตแบบกระจุกอยู่เพียงบางกลุ่มคน บางธุรกิจ หรือ บางพื้นที่ ทำให้เศรษฐกิจมีความเปราะบาง เราจำเป็นต้องเปลี่ยนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เราจะเผชิญแรงกดดันจากการทำลายล้างทางดิจิทัล (digital disruption) และ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (climate change) ดังนั้น ถ้าเราไม่ทำให้การเจริญเติบโต (growth) สามารถแบ่งปันกันในวงกว้าง เราจะไม่สามารถเติบโตต่อไปได้อย่างยั่งยืน
รายงานฉบับล่าสุดของธนาคารโลกเรื่อง "การประเมินรายได้และรายจ่ายภาครัฐของประเทศไทย – การส่งเสริมอนาคตที่ทั่วถึงและยั่งยืน" จึงเสนอให้ประเทศไทยสามารถปฏิรูปเศรษฐกิจให้มีความเท่าเทียมและความยืดหยุ่น (resilience) มากขึ้นได้ โดย
ก.เพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายภาครัฐ
ข.เพิ่มการจัดเก็บรายได้ภาครัฐ และ
ค.ช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางและนโยบายรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การปฏิรูปภาษี "แบบก้าวหน้า" เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับการใช้จ่ายภาครัฐที่จะเพิ่มสูงขึ้น เพราะการเข้าสู่สังคมสูงวัย จะเพิ่มค่าใช้จ่ายในด้านบำนาญ สวัสดิการผู้สูงอายุ และสวัสดิการรักษาพยาบาล ซึ่งจะเป็นข้อจำกัดของการเติบโตทางเศรษฐกิจ
รายงานฉบับนี้ของธนาคารโลกยังให้ความสำคัญต่อการเพิ่มงบประมาณภาครัฐด้านความช่วยเหลือทางสังคม โดยอย่างยิ่ง นโยบายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ และนโยบายช่วยเหลือทางการเงินต่างๆ ตลอดจนการปรับตัว (adaptation) ต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และ การจัดสรรงบประมาณด้านการศึกษาสำหรับนักเรียนในระดับอนุบาลและระดับมัธยมศึกษา ล้วนอยู่ในระดับต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานสากล ดังนั้น การเพิ่มการใช้จ่ายภาครัฐในด้านเหล่านี้สามารถส่งเสริมความเท่าเทียมและการพัฒนาทุนมนุษย์
EAT THE RICH คือ การทำให้ระบบเศรษฐกิจมีความเป็นธรรมมากขึ้น สามารถขยายฐานภาษีและเพิ่มอัตราภาษีแบบก้าวหน้า ตลอดจนปฏิรูประบบงบประมาณให้ทันสมัย โปร่งใส และมีประสิทธิภาพ เพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชน เช่น บริการการศึกษา และสาธารณสุขที่มีคุณภาพ หรือ ระบบสวัสดิการสังคมที่คุ้มครองความเสี่ยงโอบอุ้มเฉลี่ยทุกข์เฉลี่ยสุขในสังคม ไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด เพราะเป็นสิ่งที่นักเศรษฐศาสตร์ชั้นนำของประเทศและองค์กรด้านการพัฒนาระหว่างประเทศได้แนะนำมานานเป็นทศวรรษแล้ว อีกทั้งยังเป็นนโยบายปกติที่ทำกันในประเทศพัฒนาแล้ว
ดังนั้น ในระหว่างที่รอความไม่ชัดเจนทางการเมืองในการจัดตั้งรัฐบาลเพื่อบริหารราชการแผ่นดิน และ กำหนดทิศทางของประเทศ หากกลุ่มทุนจะคำนึงถึงสังคมที่ส่งมอบให้กับลูกหลานของเรา ก็ควรเปลี่ยนวิธีคิดจากการมุ่งแสวงหาเป้าหมายกำไรสูงสุด เป็นเพิ่มตัวชี้วัด (KPIs) ผ่านเป้าหมาย Sustainable Development Goals หรือ SDGs เพื่อช่วยแบ่งปันผลประโยชน์จากการพัฒนาเศรษฐกิจให้มีการกระจายอย่างทั่วถึงและเป็นธรรมมากขึ้น ซึ่งทั้งสมเหตุผลทางเศรษฐศาสตร์และสะท้อนถึงระดับคุณค่าเชิงจริยธรรมในการเห็นคุณค่าของชีวิตมนุษย์
ไม่ใช่ควบรวมรายใหญ่ กินรวบรายย่อย เข้ามาแข่งแย่งชิงจาก SMEs ในทุกภาคส่วน (segments) เอาเปรียบขูดรีดเลือดเนื้อจากชีวิตแรงงานลูกจ้างพนักงานและแรงงานแพลตฟอร์ม ตลอดจนผูกขาดโครงสร้างพื้นฐานประเทศ ภายใต้ระบบนิเวศทางธุรกิจที่มีงานวิจัยระบุตัวอย่างนักธุรกิจที่มาจากกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ มีโครงสร้างสายสัมพันธ์กับคนที่เข้าไปเป็นหน่วยงานที่กำกับดูแล ซึ่งสามารถเชื่อมโยงต่อไปได้ว่าคณะกรรมการคนนี้สัมพันธ์กับพรรคการเมืองไหน หรือ ผู้บริหารระดับสูงภาครัฐที่เกษียณแล้วเป็นกรรมการบริษัท (มหาชน) หรือบริษัทลูกหลานเหลนของกลุ่มทุน ซึ่งตนเองเคยมีอำนาจหน้าที่กำกับดูแล อนุมัติเห็นชอบ หรือ ให้ความคิดเห็น ซึ่งปัญหาเหล่านี้ล้วนส่งผลเสียร้ายแรงต่อระบบเศรษฐกิจในระยะยาว และ เป็นต้นทุนค่าเสียโอกาสสะสมของการพัฒนามนุษย์
ในทางตรงกันข้าม การกระจายทรัพยากรเศรษฐกิจให้คนส่วนมากในสังคม เป็นข้อเสนอแนะจากงานวิจัยนานาชาติด้านเศรษฐศาสตร์การพัฒนา ซึ่งได้แสดงให้เห็นว่า การลดความเหลื่อมล้ำจะส่งผลทางบวกต่อศักยภาพและการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ ทำให้เศรษฐกิจมีเสถียรภาพมากกว่าและเพิ่มความสามารถในการฟื้นสภาพ (resilience) ช่วยให้สังคมมีความสมานฉันท์ ลดอัตราอาชญากรรม ตลอดจนมีผลบวกต่อผลลัพธ์ด้านสุขภาวะและการศึกษา และ ทำให้คนสามารถลืมตาอ้าปาก มีคุณภาพชีวิตที่ดีและมั่นคงในวัยเกษียณได้
กรณีศึกษาทางเศรษฐศาสตร์การเมืองของระบบบำนาญแห่งชาติ
ระบบบำนาญแห่งชาติที่สามารถคุ้มครองความเสี่ยงวิกฤตความยากจนผู้สูงอายุของสังคมไทยในอนาคต จะต้องเป็นระบบที่ยั่งยืนมั่นคงทางการคลังในระยะยาว และมีระบบการออมภาคบังคับ เหมือนในหลายประเทศพัฒนาแล้ว โดยทุกคนในวัยถึงเกณฑ์ต้องอยู่ในระบบยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา จึงจะมีสิทธิ์ที่ได้รับสวัสดิการและบำนาญ และมีการใช้กลไกการคลังเพื่อจัดสรรทรัพยากรให้มีความเป็นธรรม
การขับเคลื่อนเพื่อสร้างและพัฒนาระบบบำนาญแห่งชาติ เป็นการต่อสู้อย่างยาวนานกว่าทศวรรษ ผ่านความพยายามจากภาคประชาชน ภาควิชาการ และภาคการเมือง โดยได้มีการศึกษาและพัฒนาถึงขั้นเป็น ร่าง พรบ. อย่างน้อย 5 ฉบับ แต่ก็ถูกปัดตกหรือ “มีบัญชาไม่รับรอง” จากผู้มีอำนาจ ด้วยเหตุผลหลักเป็นภาระงบประมาณ มีข้อผูกพันทางการคลังระยะยาว และซ้ำซ้อน
ทั้งที่ความต้องการความคุ้มครองทางสังคมด้านความยากจนผู้สูงอายุ เป็นเสียงเรียกร้องจากสังคมแล้ว ตลอดจนเป็นมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2565-2566 ในหัวข้อความมั่นคงด้านรายได้ของผู้สูงอายุ อันมีฉันทมติเห็นชอบต่อกรอบทิศทางนโยบาย (Policy Statement) ภายใต้ 5 เสาหลัก ได้แก่ 1. การพัฒนาผลิตภาพ 2. การออมระยะยาว 3. เงินอุดหนุนและบริการสังคมที่จำเป็นจากรัฐ 4. การเข้าถึงหลักประกันสุขภาพ และ Long-term care และ 5. การดูแลโดยครอบครัว ชุมชน และท้องถิ่น เพื่อนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อพิจารณาดำเนินการต่อไป
แผนปฎิบัติราชการผู้สูงอายุ ระยะที่ 3 (พ.ศ.2566-2580) กำหนดให้มีการผลักดันทางกฎหมาย, การบูรณาการสิทธิประโยชน์ยามชราภาพของกองทุนประกันสังคมรวมกับกองทุนการออมแห่งชาติ, ปฏิรูประบบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเป็นระบบการออมภาคบังคับ, และ “ปฏิรูประบบการจัดเก็บภาษีให้รัฐมีรายได้ที่พอเพียงเพื่อใช้ในการจัดสวัสดิการให้แก่ผู้สูงอายุ โดยไม่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจของผู้ที่เป็นฐานภาษีหรืออยู่ในวัยทำงานมากจนเกินไป”
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อวันที่ 27 พ.ค. 65 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรร่วมอภิปรายและลงมติเห็นชอบรายงานการศึกษาเรื่อง แนวทางการเสนอกฎหมายบำนาญพื้นฐานแห่งชาติ ของคณะกรรมาธิการการสวัสดิการสังคม สภาผู้แทนราษฎร ระบุเป้าหมายระดับการคุ้มครองความยากจนผู้สูงอายุที่เส้นความยากจน กำหนดแหล่งรายได้สำหรับงบประมาณ ตลอดจนข้อเสนอแนวทางการแก้ไขกฎหมาย ทำให้ไม่ต้องใช้เวลานาน แต่ทว่า กาลเวลาผ่านไปหนึ่งปีจนถึงวันนี้ (มิ.ย. 66) ก็ยังคงไม่ได้นำเข้าสู่การพิจารณาของ ครม. เพื่อดำเนินการต่อไปตามข้อเสนอ
กรณีศึกษาจากญี่ปุ่นด้านชัยชนะของนโนบายเศรษฐกิจยั่งยืนจากการรับฟังเสียงของผู้ไร้อำนาจ (powerless)
ปาฐกถาโดยศาสตราจารย์ Michael R. Reich จากมหาวิทยาลัย Harvard ใน Seventh Global Symposium on Health System Research และต่อมาได้ตีพิมพ์เป็นบทความในวารสารวิชาการ Health Systems & Reform ชื่อ “Politics and Policies of Health Systems: Reflections on 50 Years of Observing Protests, Leaders, and Political Analysis” มุ่งเน้นไปที่คำถามว่า “เมื่อใดจึงจะทำให้เสียงของกลุ่มคนไร้อำนาจ สามารถมีผลต่อนโยบาย ?” หรือ When can the powerless influence policy ? โดยกล่าวถึง การขับเคลื่อนนโยบายในทิศทางที่เป็นมิตรกับกลุ่มคนไร้อำนาจ (powerless) ซึ่งมีอำนาจน้อยกว่าผู้อื่นในเชิงสัมพัทธ์ (relative) ทางด้านเศรษฐทรัพย์ พลังสังคม หรือ เสียงทางการเมือง
ตัวอย่างหนึ่งคือ ความอยุติธรรมของการพัฒนาเศรษฐกิจในประเทศญี่ปุ่นที่ทำให้สิ่งแวดล้อมเป็นพิษ ช่วงปลายทศวรรษที่ 1960s ถึงต้นทศวรรษที่ 1970s อันเนื่องมาจากการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างไร้ทิศทางกำกับดูแลที่คำนึงถึงต้นทุนต่อสังคม ทำให้เกิดเป็นกระแสการประท้วงต่อต้านมลภาวะเป็นพิษ โดยกลุ่มคนไร้อำนาจในสังคมญี่ปุ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประชาชนบริเวณแหล่งอุตสาหกรรมที่ทนทุกข์ทรมาน ร่วมกับเครือข่ายภาคประชาชน ครูโรงเรียน นักวิจัยมหาวิทยาลัย ภาคธุรกิจ และภาคีสังคมต่าง ๆ
การต่อสู้มีตั้งแต่การเดินขบวนประท้วง ภาคธุรกิจที่มีสำนึกร่วมประท้วงด้านนอกสำนักงานและโรงงาน ฟ้องร้องเอาผิดทางกฎหมายต่อรัฐบาล และ ร่วมขับเคลื่อนโดยพรรคการเมือง ทำให้สามารถผลักดันให้ต้องเกิดความรับผิดชอบ (accountability) โดยผู้บริหารและหน่วยงานทั้งภาครัฐเอกชน ต้องชดใช้ค่าความเสียหายจากในอดีต และรับผิดชอบต่อค่าใช้จ่ายเพื่อป้องกันความเสียหายในอนาคต
ประเทศญี่ปุ่นจึงสามารถยกระดับการพัฒนาเศรษฐกิจโดยตระหนักต่อคุณค่าของชีวิตและสิ่งแวดล้อม การเคลื่อนไหวทางสังคมของญี่ปุ่นจึงได้เปลี่ยนแปลง (transform) คุณค่าและนโยบายจากการมุ่งแสวงหากำไรสูงสุด โดยไม่คำนึงถึงต้นทุนต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม กลายเป็นการสร้างความรับผิดชอบต่อสังคมอย่างมีจิตสำนึก
อนึ่ง พึงระวังอย่าให้เป็นการประท้วงที่ผิดทิศหลงทาง เช่น สุดโต่ง แตกแยก เกลียดชัง และ ต่อต้านประชาธิปไตย เหมือนอย่างการเคลื่อนไหว Make America Great Again ของอนุรักษ์นิยมขวาจัด (far-right extremism) ในประเทศของท่านศาสตราจารย์เอง ตามที่ท่านได้ระบุให้ข้อคิดเห็นไว้
เจตจำนงทางการเมืองของรัฐบาลเพื่อความเป็นธรรม
การเก็บภาษีความมั่งคั่ง หรือ "Taxing the rich" ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะสามารถผลักดันขับเคลื่อนให้เป็นสังคมที่มีความเป็นธรรม แม้จะสะท้อนเสียงความต้องการของประชาชนต่อนโยบายผู้ชนะการเลือกตั้งที่ได้คะแนนเป็นอันดับหนึ่ง แต่ผู้เสียประโยชน์จากการจัดสรรทรัพยากรให้แบ่งปันกันอย่างเป็นธรรม จะต้องแทรกแซงขัดขวางทุกกลยุทธ์โดยไม่สนวิธีการ แม้ว่าจะขัดแย้งกับหลักการพื้นฐานสากลและสามัญสำนึกของคนในสังคมส่วนใหญ่เพียงใดก็ตาม
แน่นอนว่า การลดความเหลื่อมล้ำจะต้องอาศัยแรงขับเคลื่อนโดยตรงจากภาคการเมือง หรือผู้ที่จะมีอำนาจในการตัดสินใจเชิงนโยบาย เพื่อให้เกิดขึ้นเป็นรูปธรรม อันจะนำไปสู่ข้อสรุปที่มีความสมเหตุผลทางเศรษฐศาสตร์ดังอรรถกถาธิบายข้างต้น
การจัดสรรทรัพยากรให้เป็นธรรมมากขึ้น จะสามารถปรากฏเป็นจริงได้ จึงขึ้นอยู่กับความมุ่งมั่นจริงจังของรัฐบาล และ จำเป็นต้องใช้กระบวนการตัดสินใจผ่านกลไกประชาธิปไตยแบบปกติ เพื่อแสดงถึงความต้องการของประชาชน โดยที่ประชาชนต้องทราบและตระหนักด้วยว่า แนวทางนโยบายที่ตนเองลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง จะได้อะไร และ จะต้องเสียอะไร
เราสามารถขยายช่องว่างทางการคลัง (fiscal space) เพื่อให้มีงบประมาณสำหรับระบบสวัสดิการคนไทยและการลงทุนในอนาคตของประเทศ โดยการเพิ่มรายได้จากภาษี และปฏิรูปการใช้จ่ายงบประมาณ ตามข้อเสนอและรายงานการศึกษามากมายจากนักเศรษฐศาสตร์ชั้นนำ และ องค์การระหว่างประเทศหลายหน่วยงาน ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา
ดังนั้น รัฐบาลต้องมีความมุ่งมั่นที่เรียกว่า “เจตจำนงทางการเมือง” (political will) เพื่อทำให้เกิดขึ้นจริงสักที เพราะเรามีพร้อมแล้วทั้งเสียงเรียกร้องความต้องการจากประชาชน และ แนวทางการดำเนินการตามหลักการและเหตุผลทางเศรษฐศาสตร์ เพื่อเป้าหมายลดความเหลื่อมล้ำ
เส้นทางที่พึงปรารถนาของสังคมไทย
หากพิจารณาตามหลักวิชาเศรษฐศาสตร์สาธารณะ ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อจัดสรรทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดให้เกิดประโยชน์สูงสุดโดยภาครัฐบาล มีสาระสำคัญ คือ การจัดสรรทรัพยากรให้สังคมโดยรวมมีระดับความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
หากเราพิจารณาในประเด็น “การกระจายอย่างเป็นธรรม” โดยคำนึงถึงการจัดสรรทรัพยากรความมั่งคั่งใหม่ (wealth redistribution) ที่ช่วยสร้างความเป็นธรรม สามารถพิสูจน์ทางคณิตศาสตร์ตาม Second Fundamental Theorem of Welfare Economics ในทฤษฎีดุลยภาพทั่วไป (general equilibrium theory) เรียนในระดับปริญญาเอกว่า เป็น Pareto optimality คือ เป็นทางเลือกที่ดีสุดสำหรับทั้งสังคม
ในขณะเดียวกัน การใช้จ่ายงบประมาณเพื่อสร้างระบบความคุ้มครองทางสังคม (social protection) และ ระบบสวัสดิการซึ่งมุ่งเป้าประโยชน์โดยตรงไปที่คุณภาพชีวิตประชาชน ควรคำนึงถึง “ความมีประสิทธิภาพ” คือ ผลตัวทวีคูณต่อระบบเศรษฐกิจ (multiplier effect) สามารถช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและเป็นเครื่องมือรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ และ “การคุ้มครองความยากจน” (poverty protection) คือ การป้องกันไม่ให้ความเหลื่อมล้ำเมื่อแรกเกิดและวัยทำงาน ต้องส่งต่อเป็นความเหลื่อมล้ำในวัยเกษียณ
ข้อเสนอต่างๆ (ex-ante) มากมาย ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา จากทั้งนักเศรษฐศาสตร์ชั้นนำของประเทศ หรือ องค์กรระหว่างประเทศระดับแนวหน้า ซึ่งตอนนี้เป็นนโยบายเศรษฐกิจหลักของพรรคที่ได้คะแนนเสียงเลือกตั้งเป็นอันดับหนึ่ง ก็ต้องยอมรับว่า หลายนโยบาย เช่น การขึ้นภาษีอัตราก้าวหน้า หรือ การเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำให้เป็นธรรมตามผลิตภาพแรงงานและเงินเฟ้อ หากจะให้ดำเนินการทันทีโดยไม่เป็นลำดับขั้นตอน คงจะเร็วเกินไป เพราะก็ต้องเห็นใจผลกระทบจากเศรษฐกิจซบเซาตั้งแต่ก่อนโควิด แต่ในที่สุดแล้ว “การจัดสรรทรัพยากรและโอกาสอย่างเป็นธรรม เพื่อประโยชน์ทางเศรษฐกิจให้กระจายอย่างทั่วถึง คือ ทิศทางที่เราควรจะมุ่งไป” โดยมีกำหนดเป็นแนวทางตามยุทธศาสตร์ชาติอยู่แล้ว เพียงแต่ต้องการเจตจำนงทางการเมืองที่มุ่งมั่นในการทำให้ปรากฏเป็นจริง
ทั้งนี้ ผู้เขียนขอเรียนให้ทุกท่านโปรดช่วยกันพิจารณาว่า หากไม่ทำอะไรเลย งบประมาณภาครัฐสำหรับสังคมผู้สูงอายุ จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วภายในสองทศวรรษข้างหน้า โดยส่วนมากมาจากงบบำนาญข้าราชการ ซึ่งจะเพิ่มสูงขึ้นไปพร้อมกับงบสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ โดยเรามีกำลังคนภาครัฐ ปี 2564 จำนวน 3.00 ล้านคน เปรียบเทียบกับ ปี 2553 จำนวน 2.47 ล้านคน หรือเพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยละ 20
ดังนั้น ในเมื่อประเทศไทยจำเป็นต้องมีรายรับรัฐบาลเพิ่มขึ้น ก็ควรปฏิรูประบบเศรษฐกิจให้มีความเป็นธรรม และ สร้างระบบสวัสดิการยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยร่วมชาติ เพื่อพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสสามารถแก้ไขปัญหาโครงสร้างขั้นรากฐานของประเทศ และ เป็นเส้นทางแห่งการพัฒนาที่มีความยั่งยืนสำหรับมนุษย์ทุกช่วงวัย
โดยการทำให้สังคมไทยมีความเท่าเทียมกันมากขึ้น เป็น “เงื่อนไขเบื้องต้น” ที่จะทำให้สังคมไทยมีสันติสุขและเกิดความปรองดองในระยะยาว ตามที่ ศ.ดร.ผาสุก พงษ์ไพจิตร และ ดร.คริส เบเคอร์ ได้ชี้แนะ (Phongpaichit and Baker, 2015)
หลีกเลี่ยงการนับถอยหลังสู่อนาคตที่สิ้นหวัง
หากเราอยู่ในสภาวะไม่ทำอะไรเลย (status quo) ต่อไป เราคงจะสามารถจินตนาการถึงอนาคตสังคมไทยที่สิ้นหวัง แรงงานไทยจำนวนนับสิบล้านคน มีความเสี่ยงสูงจะถูกแทนที่โดยหุ่นยนต์และปัญญาประดิษฐ์ ทำให้แนวโน้มความเหลื่อมล้ำในประเทศไทยจะยิ่งขยายกว้างมากขึ้น ในขณะที่แรงงานส่วนใหญ่จะไม่สามารถแข่งขันได้หรือจะอยู่รอดอย่างยากลำบากในโลกอนาคต
แนวโน้มอุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้นเกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จะทำให้เราเผชิญแนวโน้มภัยคุกคามด้านความมั่นคงทางอาหาร และภัยธรรมชาติ ทั้งคลื่นความร้อนและอากาศแปรปรวน อย่างภัยแล้งหรือน้ำท่วม จะเกิดถี่ขึ้นและรุนแรงมากขึ้นในอนาคต ผลผลิตการเกษตรถูกทำลาย มีความขัดแย้งด้านทรัพยากรน้ำและพลังงาน และ ผลกระทบต่อเนื่องอื่น ๆ อีกมากมายในอนาคต
คนจนจะได้รับผลกระทบรุนแรงมากกว่า เพราะขาดความสามารถการปรับตัวและไม่มีความคุ้มครองทางสังคม (social protection) ที่เพียงพอ ในขณะที่โครงสร้างประชากรทำให้คนในวัยทำงานรุ่นต่อไป จะต้องเผชิญสถานการณ์ที่ยากลำบาก เพราะแบกรับภาระเลี้ยงดูสมาชิกในสังคมและครอบครัวที่อยู่ในวัยพึ่งพิงทั้งวัยเด็กและวัยชรา ในขณะที่คนจำนวนมากทำงานทั้งชีวิต ก็ไม่สามารถมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้ จนคนรุ่นใหม่จำนวนมากประเมินอนาคตของตนเองในประเทศแล้ว จึงเป็นกระแส “ย้ายประเทศ” เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีกว่า เนื่องจากหากไปตั้งรกรากในประเทศพัฒนาแล้ว ค่อนข้างจะประกันคุณภาพชีวิตที่ดีและคุ้มค่าภาษีที่ร่วมจ่าย
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยก็ยังมีโอกาสเลือกทิศทางที่ต้องการจะมุ่งไป โดยมีเป้าหมายพัฒนาเศรษฐกิจให้เป็นธรรม สามารถกระจายทรัพยากรและโอกาสอย่างทั่วถึง เพื่อจะได้ไม่ปล่อยให้ความเหลื่อมล้ำสะสมมากเข้า จนในที่สุดสามารถยกระดับเป็นความขัดแย้งรุนแรงตามโศกนาฏกรรมในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ กลายเป็นภัยคุกคามความมั่นคงของประเทศไทยในอนาคตจากปัญหาสังคมเศรษฐกิจอันมีรากฐานมาจากปัญหาเชิงโครงสร้างแห่งความเหลื่อมล้ำ
สังคมที่มีความเหลื่อมล้ำ ไม่ใช่สังคมที่สันติ สงบ
ถ้าสังคมมีความเหลื่อมล้ำกันเรื่อยๆ
ถึงจุดหนึ่งมันก็ต้องมีการเลือดตกยางออก มันต้องสู้กัน
ถ้าอยากให้บ้านเมืองสุขสงบ ก็ต้องลดความเหลื่อมล้ำ
ที่มา: หนังสือ ‘DO IT RIGHT AND FEAR NO MAN’ (2556) โดย สำนักงานพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ (IHPP) และ โครงการประเมินเทคโนโลยีและนโยบายด้านสุขภาพ (HITAP)
อ่านต่อ
A wealth tax to address five global disruptions
Thailand's billionaire boom: the rise of Sarath Ratanavadi - How the energy tycoon shot to fortune in Asia's most unequal country
A Global Compact for Sustainable Development – Business and the SDGs: Acting Responsibly and Finding Opportunities
WB/IMF Tax Conference - Taxation of the Wealthy in Developing Countries
In memory of ‘เดือนเด่น นิคมบริรักษ์’ : การต่อสู้กับคอร์รัปชัน การผูกขาด และอธรรมภิบาลภาครัฐ
World Bank เผยแพร่รายงานฉบับใหม่ ‘ไทย’ ต้องเพิ่มการจัดเก็บรายได้ภาครัฐ ชง ‘ปฏิรูปภาษีแบบก้าวหน้า’ รองรับสังคมสูงวัย-การรักษา-สวัสดิการ
ตอบโจทย์สู้ความเหลื่อมล้ำ-ต้านการผูกขาด-สร้างความยั่งยืน ยุค COVID-19
ประเทศไทยพร้อมหรือยัง?: เมื่อหุ่นยนต์และปัญญาประดิษฐ์กำลังจะ disrupt ตลาดแรงงานไทย
เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ : 'ความเหลื่อมล้ำมีสูง เศรษฐกิจจะเปราะบาง เราจะไม่มี Growth'
สัมภาษณ์: ผาสุก พงษ์ไพจิตร ‘ปฏิรูปภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเพื่อสังคมเสมอหน้า’