ในช่วงเวลากว่าหลายทศวรรษที่กระแสโลกาภิวัตน์ทำให้ตลาดการค้าระหว่างประเทศเติบโต ผู้ผลิตสามารถใช้ประโยชน์จากการแบ่งการผลิตระหว่างประเทศ โดยสร้างระบบห่วงโซ่อุปทานการผลิตให้กระจายอยู่ในหลายประเทศ ทำให้การผลิตมีประสิทธิภาพและมีส่วนช่วยในการเติบโตของธุรกิจ อย่างไรก็ดี มีการโจมตีว่ากระแสโลกาภิวัตน์กลับสร้างปัญหาในหลายด้านแก่ระบบเศรษฐกิจโดยเฉพาะปัญหาทางด้านความเหลื่อมล้ำ ส่วนหนึ่งเพราะเจ้าของกิจการได้ย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศที่เอื้อต่อการผลิตได้ดีกว่า มีค่าแรงต่ำกว่า ซึ่งส่งผลเสียต่อการจ้างงานในประเทศอย่างชัดเจน ในทางกลับกัน นักลงทุนและเจ้าของกิจการที่ออกไปลงทุนกลับได้ประโยชน์จากการย้ายฐานอย่างมีนัยยะ เรื่องราวเกี่ยวกับการทวนกระแสโลกาภิวัตน์จึงได้รับความสนใจอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา สงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน อีกทั้งการระบาดใหญ่ของโควิด-19 และสงครามยูเครน-รัสเซียมีแนวโน้มที่จะเพิ่มแรงผลักดันให้กับการทวนกระแสโลกาภิวัตน์ (deglobalization) มีความเข้มข้นมากขึ้น
ในช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เราได้เห็นหลายประเทศมีการใช้นโยบายเน้นตนเอง (inward-looking policy) หรือการกีดกันการค้า (protectionism) โดยเฉพาะ ในประเทศสหรัฐฯ ประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจได้ส่งสัญญาณชัดเจนให้บริษัทสัญชาติอเมริกันหันกลับมาผลิตในประเทศมากขึ้น และกีดกันการค้าจากต่างประเทศโดยเฉพาะสินค้าจากประเทศจีน ประเด็นเหล่านี้กลับชัดเจนยิ่งขึ้นเมื่อการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ตอกย้ำความเชื่อของผู้ที่ไม่สนับสนุนโลกาภิวัตน์ว่า การพึ่งพิงระบบการผลิตระหว่างประเทศมากเกินไปเป็นเรื่องอันตราย ซึ่งจะเป็นการเร่งกระบวนการเปลี่ยนแปลงของห่วงโซ่อุปทานโลกที่มีอยู่แล้วให้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น
ดังนั้นถึงเวลาแล้วที่ประเทศต่าง ๆ อาจต้องคิดทบทวนอย่างรอบคอบว่า นโยบายเศรษฐกิจของตนจะเดินไปในทิศทางใด จึงถือเป็นโอกาสอันดีสำหรับการร่วมกันพิจารณานโยบายของประเทศในแถบเอเชียที่ขณะนี้มีความสำคัญมากขึ้นในตลาดโลก และสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศให้ก้าวไปพร้อมกันโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง คณะเศรษฐศาสตร์ และคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมกับ Maharaja Agrasen Institute of Management Studies (MAIMS), Entrepreneurship Development Institute of India Ahmedabad, The University of Danang – University of Economics และ Faculty of Economics & Business Administration, Dalat University ได้จัดการประชุมวิชาการนานาชาติ Asia Pacific Economic Integration Forum (A-PAC EIF 2022) ภายใต้หัวข้อ “Connectivity Dots in Asia Pacific for Realising Regional Potential for Global Welfare” เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2565 ที่ผ่านมา เพื่อพิจารณาถึงบทบาทที่เป็นไปได้นี้ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกในการเติบโตและการพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืนร่วมกัน
บทความนี้ได้สรุปสาระสำคัญของการเสวนาในหัวข้อ ความกังวลของการทวนกระแสโลกาภิวัตน์ : การตอบสนองและความท้าทายในอาเซียน (Fears of Deglobalization: Responses and Challenges for ASEAN) ซึ่งผู้เข้าร่วมเสวนาได้มาร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์และแสดงความคิดเห็น พร้อมทั้งเสนอแนะมุมมองของประเทศต่าง ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต่อประเด็นที่เกี่ยวเนื่องกับการทวนกระแสโลกาภิวัตน์ นำเสนอนโยบายที่สำคัญในการขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้า และร่วมกันค้นหาความท้าทายที่เป็นประเด็นสำคัญในประเทศและภูมิภาคอาเซียน รวมทั้งการเสนอแนวทางในการจัดการความท้าทายเหล่านั้น
ในวงเสวนาดังกล่าว ได้ให้เกียรติจาก รศ.ดร.จุฑาทิพย์ จงวนิชย์ บรรณาธิการวารสาร Thailand and the World Economy, คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นผู้ดำเนินการเสวนา โดยมีผู้ร่วมเสวนาดังนี้
• Prof. Hal Hill, H.W. Arndt Professor Emeritus of Southeast Asian Economies, Crawford School of Public Policy, ANU and President of East Asian Economic Association (EAEA)
• ศาสตราจารย์ สกนธ์ วรัญญูวัฒนา ประธานกรรมการการแข่งขันทางการค้า และอดีตคณบดี คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
• Prof. Xuan-Vinh Vo, Dean of the Institute of Business Research, University of Economics, Ho Chi Minh City
• Dr. Cassey Lee, Senior Fellow and Coordinator, Regional Economic Studies Programme, ISEAS-Yusof Ishak Institute, Singapore
Prof. Hal Hill, H.W. Arndt Professor Emeritus of Southeast Asian Economies, Crawford School of Public Policy, ANU and President of East Asian Economic Association (EAEA)
เป็นที่ทราบกันดีว่า อาเซียนเรียกว่าเป็นภูมิภาคที่ใช้นโยบายการมองออกไปสู่ภายนอก (outward-looking policy) มาอย่างยาวนาน และการเปิดกว้างทางเศรษฐกิจนั้นแตกต่างกันอย่างมากใน 10 ประเทศ ด้วยเหตุนี้ วิทยากรผู้มีความรู้อย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยเฉพาะอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์อย่าง Prof. Hal Hill ได้มองว่า ภูมิภาคเอเชียเป็นภูมิภาคที่เปิดกว้างทางเศรษฐกิจ กระแสโลกาภิวัตน์นี้มีส่วนทำให้ภูมิภาคมีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ดี ภูมิภาคเอเชียยังคงมีความกังวลอย่างมากกับสภาพแวดล้อมทางการค้าในขณะนี้ เพราะผลกระทบจากการที่ประเทศต่าง ๆ มีข้อตกลงการค้าเสรีหลายฉบับ ซึ่งสร้างปัญหาในการบริหาร เกิดความซับซ้อนของข้อตกลง โดยมองว่ามีสภาพเหมือนเส้นสปาเก็ตตี้ที่พันกันในชาม (“Spaghetti Bowl”) ซึ่งมันไม่ใช่การทำการค้าเสรีแต่กลับเป็นการให้สิทธิพิเศษทางการค้า ส่งผลให้การค้าเสรีของโลกไม่ราบรื่นและไม่พัฒนาในวิถีทางที่ควรจะเป็น ดังนั้นการเปิดกว้างทางเศรษฐกิจเป็นเงื่อนไขที่จำเป็นแต่อาจไม่เพียงพอสำหรับความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจและสังคมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การบริหารจัดการโลกาภิวัตน์จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นภายใต้ความท้าทายหลายประการที่ภูมิภาคกำลังเผชิญ
Prof. Hal Hill ได้กล่าวถึงความท้าทายหลายประการที่ควรดำเนินการให้ดีเพื่อให้มั่นใจว่าภูมิภาคต่าง ๆ สามารถเคลื่อนตัวไปสู่ตำแหน่งที่ดีขึ้นได้
ความท้าทายประการแรก วิกฤตการณ์โควิด-19 ทำให้เห็นถึงการจัดการที่ไม่เท่าเทียมกัน อันจะเห็นได้ชัดจากมาตรการกระตุ้นทางการคลังที่ไม่เสมอภาค ประเทศร่ำรวยมีโครงการในการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่เมื่อเทียบกับประเทศที่มีรายได้ปานกลางซึ่งส่วนใหญ่เป็นประเทศในแถบเอเชียที่ดำเนินมาตรการได้อย่างจำกัด และความเหลื่อมล้ำของวัคซีน ประเทศร่ำรวยประสบความสำเร็จอย่างมากในการรับวัคซีน ในอีกด้านหนึ่ง ประเทศยากจนและประเทศที่มีรายได้น้อยไม่สามารถเอื้อมถึงเวชภัณฑ์ที่จำเป็นดังกล่าวได้อย่างรวดเร็วและเพียงพอ
ประการที่สอง มาตรการนโยบายการกีดกันทางการค้า การจำกัดการส่งออกที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นอันเป็นผลมาจาก COVID-19 สงครามรัสเซีย-ยูเครน ซึ่งดูเหมือนจะร้ายแรงกว่าวิกฤตการณ์ราคาอาหารในปี 2551 เป็นปัจจัยที่ทุกฝ่ายยังคงต้องจับตาและติดตามอย่างใกล้ชิด
ประการที่สาม การดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดอย่างกะทันหันและฉับพลันของประเทศสหรัฐอเมริกาได้เพิ่มความกังวลแก่ประเทศกำลังพัฒนาและประเทศที่มีรายได้ต่อหัวต่ำ โดยการเพิ่มอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ อย่างรวดเร็วนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ประเทศกำลังพัฒนาหลายประเทศและประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ มีระดับหนี้ที่สูงกว่าในช่วงวิกฤตการเงินโลก และเมื่อรวมระดับหนี้เข้ากับอัตราดอกเบี้ยที่พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วเหล่านี้ จะเกิดปัญหาในด้านต้นทุนการกู้ยืมที่เพิ่มสูงขึ้น และเงินทุนจะไหลกลับเข้าสู่สหรัฐฯ ซึ่งจะเพิ่มแรงกดดันต่ออัตราแลกเปลี่ยนของประเทศกำลังพัฒนา
ประการที่สี่ ความไม่เท่าเทียมกันของการเข้าสู่โครงสร้างพื้นฐานโดยเฉพาะในส่วนของการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต การทำให้โลกาภิวัตน์เหมาะสมสำหรับทุกประเทศส่วนหนึ่งนั้นต้องสร้างความมั่นใจให้กับทุกประเทศว่าสามารถได้รับประโยชน์จากการเชื่อมกับเศรษฐกิจโลกได้ ส่วนสำคัญของการเข้าถึงดังกล่าวต้องมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพที่ดีขึ้นเพื่อช่วยให้ผู้คนสามารถมีส่วนร่วมในเศรษฐกิจโลกได้อย่างทั่วถึง การเข้าถึงอินเทอร์เน็ต และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอื่น เช่น ถนน และการเชื่อมโยงของถนน เป็นความท้าทายสำคัญทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศต้องจัดการให้มีการเข้าถึงที่เท่าเทียม
ประการที่ห้า คุณภาพของการบริหารจัดการของรัฐบาล การมีสื่อเปิดกว้าง สาธารณชนรับทราบถึงความโปร่งใสและการเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วม เป็นอีกหนึ่งความท้าทายที่สำคัญ ในการบริหารประเทศให้สามารถอยู่ได้ในกระแสโลกาภิวัฒน์ มาเลเซียซึ่งถือว่าเป็นประเทศที่มีดัชนีคุณภาพของการบริหารจัดการที่สูงกว่าประเทศอื่นในภูมิภาคกำลังเผชิญกับการลดลงของคุณภาพดังกล่าว เช่นกับประเทศในภูมิภาคอื่นที่ดัชนีดังกล่าวไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
ประการสุดท้าย การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความท้าทายด้านความหลากหลายทางชีวภาพเป็นสิ่งที่แต่ละประเทศต้องให้ความสำคัญในการบริหารจัดการ การประสานความร่วมมือระหว่างประเทศมีส่วนสำคัญต่อการลดลงของการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
รัฐบาลและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องคงต้องมีการบริหารจัดการกับความท้าทายดังกล่าวอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้ประเทศและภูมิภาคสามารถอยู่กับกระแสโลกาภิวัฒน์ได้อย่างยั่งยืน
ศาสตราจารย์ สกนธ์ วรัญญูวัฒนา ประธานกรรมการการแข่งขันทางการค้า และอดีตคณบดี คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ศาตราจารย์ สกนธ์ มองว่า กระแสโลกาภิวัตน์เองได้เปลี่ยนโฉมเศรษฐกิจโลกโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับชาวเอเชีย อันเนื่องมาจากการเปิดโอกาสให้มีการแข่งขันกับต่างประเทศ ทำให้เกิดแรงกระตุ้นสำหรับนวัตกรรมเพื่อหาทางลดต้นทุนในการผลิตและปรับปรุงเทคโนโลยีในการผลิต สิ่งเหล่านี้ล้วนทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น ถือเป็นประโยชน์ที่เราจะได้จากกระแสโลกาภิวัตน์ และผลพวงจากประเด็นข้างต้น ทำให้การเปิดตลาดสร้างมูลค่าของผลิตภัณฑ์ การก้าวไปสู่ระดับนานาชาติมากขึ้น การเปิดรับเงินทุนหมุนเวียน เทคโนโลยีดิจิทัล การเคลื่อนย้ายของแรงงาน และการแบ่งปันข้อมูลทางเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ตาม สัญญาณเชิงลบที่เกิดจากกระแสโลกาภิวัตน์กลับเกิดขึ้นไม่เพียงแต่ในเอเชียเท่านั้นแต่รวมถึงทั่วทุกมุมโลก อาทิ ผลกระทบทางสังคม การหาประโยชน์จากทรัพยากร และผลกระทบต่อวัฒนธรรมของประเทศ ศาสตราจารย์ สกนธ์ คาดการณ์ว่า ผลกระทบดังกล่าวจะเป็นเพียงผลกระทบในระยะสั้น โลกาภิวัตน์จะยังคงดำเนินต่อไป เราจำเป็นที่จะต้องมีความร่วมมือระหว่างประเทศในเอเชียโดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่ของกฎและข้อบังคับที่ต้องมีความกลมกลืนกันมากขึ้น และมีโครงสร้างพื้นฐานที่ดีเพื่อจัดการอุปทานทั่วโลก รวมทั้งต้องพยายามปิดระดับช่องว่างของการพัฒนาเศรษฐกิจระหว่างประเทศในเอเชีย ประเทศจำเป็นต้องมีการจัดการที่ดีในโลกโลกาภิวัตน์ การกระจายตัวทางเศรษฐกิจที่ดี (diversification) เป็นสิ่งที่จำเป็น อย่างประเทศไทย การพยายามสร้างความสมดุลระหว่างเศรษฐกิจภายในประเทศกับเศรษฐกิจระหว่างประเทศเป็นสิ่งที่จำเป็น ต้องมีการกระจายรายได้ที่ได้จากการส่งออกที่เหมาะสมเพื่อลดปัญหาความเหลื่อมล้ำภายในประเทศ และอย่างที่กล่าวข้างต้น การเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบที่เอื้อต่อการพัฒนาเศรษฐกิจเป็นสิ่งที่จำเป็นและควรต้องทำเร่งด่วน
Dr. Cassey Lee, Senior Fellow and Coordinator, Regional Economic Studies Programme, ISEAS-Yusof Ishak Institute, Singapore
อีกหนึ่งประเด็นที่เอเชียต้องให้ความสนใจและมีส่วนเกี่ยวข้องกับกระแสโลกาภิวัตน์ คือ มิติด้านเศรษฐกิจการเมืองและปัญหาเศรษฐกิจระดับประเทศ Dr. Cassey Lee ได้มองการทวนกระแสโลกาภิวัตน์ผ่านมุมมองของประเทศมาเลเซีย โดยได้แบ่งเป็นมุมมองออกเป็นปัญหาที่เผชิญในระยะสั้นและระยะยาว ในระยะสั้น เมื่อมีส่วนร่วมในกระแสโลกาภิวัตน์แล้ว หากจะหลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่จะเกิดแรงกระแทกภายนอกนั้นเป็นไปได้ยาก อาทิ การเกิดสงครามรัสเซีย-ยูเครน ทำให้ขณะนี้ราคาน้ำมันในรัสเซียพุ่งสูงขึ้น และจากสถานการณ์อัตราเงินเฟ้อในประเทศที่เป็นผลมาจากประเทศมหาอำนาจขึ้นอัตราดอกเบี้ย ผลพวงดังกล่าวก็ผลักให้ธนาคารกลางของมาเลเซียขึ้นอัตราดอกเบี้ยหลังจากรักษาระดับต่ำมาเป็นเวลานาน รัฐบาลต้องมีการบริหารจัดการกับเรื่องดังกล่าวอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งการหันหลังให้กับโลกาภิวัฒน์ดูเหมือนไม่ใช่คำตอบของประเทศมาเลเซีย มาเลเซียยังคงเดินหน้าในการเข้าร่วมความตกลงระหว่างประเทศอย่างต่อเนื่อง และการส่งออกมีส่วนสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจของมาเลเซีย
ความท้าทายในระยะยาวที่มาเลเซียกำลังเผชิญอยู่เกี่ยวข้องกับปัญหากับดักรายได้ปานกลางในแง่ของการยกระดับไปสู่เศรษฐกิจดิจิทัล การปฏิรูปสถาบัน ทุนมนุษย์ การขาดแคลนแรงงาน และประเด็นสุดท้าย คือ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งประเด็นเดียวกับนักวิชาการท่านอื่น ๆ ที่ได้แสดงความกังวลเช่นกัน อย่างไรก็ตาม Dr. Cassey Lee กล่าวว่า ประเทศมาเลเซียจะคงอยู่ในกระแสโลกาภิวัตน์ต่อไป ในขณะที่ความตึงเครียดระหว่างประเทศในภูมิภาคตะวันตกและตะวันออก (East and West) ยังคงอยู่และอาจมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น คงเป็นการยากสำหรับประเทศมาเลเซีย (และอาจรวมถึงประเทศอื่นในภูมิภาค) ที่จะเลือกเข้าข้างใดข้างหนึ่งเนื่องจากประเทศทั้งสองมีความสำคัญต่อประเทศในระดับที่ใกล้เคียงกัน การบริการจัดการโดยเฉพาะในส่วนของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศท่ามกลางความตรึงเครียดกังกล่าวเป็นสิ่งที่จำเป็น
Prof. Xuan-Vinh Vo, Dean of the Institute of Business Research, University of Economics, Ho Chi Minh City
หากกล่าวถึงเวียดนามซึ่งเป็นประเทศที่นักลงทุนต่างชาติจับตามองและท่ามกลางสถานการณ์โควิด-19 ได้แสดงตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจที่โดดเด่นในด้านการวิจัยและพัฒนา Prof. Xuan-Vinh Vo มองถึงโอกาสในการพัฒนาเศรษฐกิจของเวียดนาม ซึ่งในขณะนี้เวียดนามขยับไปสู่รูปแบบการเติบโตใหม่ที่พยายามดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศที่มีคุณภาพสูงขึ้น อาทิ การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศที่เกี่ยวเนื่องกับเทคโนโลยี เทคโนโลยีสีเขียว พลังงานสะอาด มากกว่าที่จะพึ่งพารูปแบบการส่งเสริมการเติบโตที่เน้นเฉพาะปริมาณการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ ด้วยเหตุนี้ เวียดนามจึงพยายามจัดสรรทรัพยากรให้เหมาะสมกับบริษัทที่มีนวัตกรรมมากขึ้น ทั้งยังพยายามเพิ่มทุนทางกายภาพในการลงทุนภาครัฐและลงทุนมากขึ้นในทุนมนุษย์ และได้ให้ความสำคัญกับกิจกรรมที่ใช้พลังงานสีเขียวเพื่อความยั่งยืนของประเทศ ประเทศเวียดนามเองอาจยังไม่มีปัญหาในกระแสการต่อต้านโลกาภิวัฒน์มากนักเหมือนประเทศอื่น เนื่องจากประเทศยังคงได้รับประโยชน์จากการเข้าไปเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจโลก อย่างไรก็ตาม เวียดนามได้ให้ความสำคัญกับการจัดการเรื่องความเหลื่อมล้ำซึ่งถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดกระแสการต่อต้านโลกาภิวัฒน์ นโยบายการกระจายการศึกษา การพยายามเพิ่มทุนมนุษย์ การมีนโยบายการดึงแรงงานกลับเข้ามาทำงานให้มากที่สุดภายหลังการเกิด COVID-19 การให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการรายกลางและเล็ก เป็นนโยบายสำคัญที่ทางรัฐบาลเวียดนามให้ความสำคัญ
รศ.ดร.จุฑาทิพย์ จงวนิชย์ บรรณาธิการวารสาร Thailand and the World Economy, คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
รศ.ดร.จุฑาทิพย์ ปิดท้ายว่า การที่จะอยู่ในกระแสโลกาภิวัฒน์ประเทศจำเป็นต้องมีนโยบายการบริหารจัดการที่ดีทั้งในส่วนเศรษฐกิจมหภาคและจุลภาค โดยเฉพาะการกระจายระบบเศรษฐกิจที่ดีขึ้น (diversification) การบริหารจัดการความเหลื่อมล้ำอย่างมีประสิทธิภาพ และสร้างให้ประเทศมีความยืดหยุ่นที่จะสามารถเผชิญกับเหตุการณ์ที่ไม่แน่นอนได้ (resilience) แต่การบริหารเพียงแต่ในประเทศดังกล่าวยังไม่เพียงพอที่จะให้ประเทศในภูมิภาคและประเทศอื่นทั่วโลกสามารถเอาชนะพายุลูกใหญ่หลายลูกที่กำลังเผชิญได้ ความร่วมมือระหว่างประเทศที่มีประสิทธิภาพโดยเฉพาะในส่วนของ Rule-based เป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นที่ทุกฝ่ายต้องให้ความสำคัญ